
เชื่อว่าหลายคนต้องเคยพบปัญหาเวลาที่ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
จนเกิดความหลงใหลและสนุกจนอยากจะพัฒนาสิ่งใหม่ๆ
ที่เรียนรู้นั้นให้กลายเป็นทักษะและความสามารถขึ้นมา
หลายๆ ครั้งเราอาจเกิดคำถามว่าเราควรฝึกฝนตัวเองอย่างไรจึงจะเกิดการพัฒนา
ทั้งที่เราก็มีความตั้งใจและมุ่งมั่นอยากจะทำให้สิ่งที่ได้เรียนรู้ใหม่นั้น ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
หรือแม้กระทั่งการรื้อฟื้นทักษะความสามารถที่ร้างราไปนานให้กลับมาดีได้เหมือนในอดีต
ลองฝึกฝนด้วย 7 วิธี พัฒนาทักษะให้เก่งขึ้นดู
แล้วทักษะความสามารถที่คุณต้องการก็จะถูกพัฒนาให้ดีได้เร็วขึ้นตาม
1.ลืมปัจจัยเรื่องเวลาไปซะ
เมื่อต้องซ้อมให้เกิดทักษะความชำนาญก็อย่าถามตัวเองว่าใช้เวลาซ้อมมากพอแล้วหรือยัง
แต่จงถามตัวเองว่าจำนวนครั้งที่ซ้อมนั้นมากพอจนสามารถเก่งได้มากขึ้นแล้วหรือไม่
รู้ไว้เถอะว่าคุณภาพของการฝึกฝนไม่ได้วัดกันที่เวลาในการฝึก แต่เป็นจำนวนครั้งที่ฝึกซ้ำๆ
จนเกิดความชำนาญต่างหาก เช่น อย่าตั้งเป้าการฝึกว่าจะทำวันละ 1 ชั่ วโมง
แต่ให้ตั้งเป้าว่าจะฝึกวันละ 5 รอบแทน เป็นต้น
2.แบ่งทักษะออกเป็นส่วนย่อยๆ
เราคงเคยได้ยินคำว่าค่อยๆ ทำทีละอย่างมาจนชินหู คำสอนนั้นแหละคือหลักการฝึกทักษะที่ดี
เมื่อเราเจอบททดสอบที่อาจดูว่ายากสำหรับเราในช่วงแรกๆที่ไม่เคยทำ
ก็ให้ลองแบ่งทักษะนั้นออกเป็นส่วนย่อยๆ ค่อยๆ
ฝึกในแต่ละขั้นโดยเริ่มโฟกัสจากสิ่งที่เราชอบมากที่สุดก่อน
แล้วค่อยๆร้อยเรียงทักษะแต่ละส่วนเข้าด้วยกันเป็นทักษะใหญ่หนึ่งเรื่อง
เมื่อทักษะย่อยมีความชำนาญย่อมเกิดเป็นผลดีต่อทักษะใหญ่ด้วย
3.จดจ่อและทำซ้ำๆ
การทำหลายๆ อย่างพร้อมกันโดยไม่ตั้งใจกับอะไรสักอย่างเลย
จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำหลายๆอย่างนั้นออกมาแ ย่หรือมีค่าเท่ากับไม่ได้ทำสิ่งนั้นเลย
ในการฝึกฝนจงอย่าตั้งเป้าว่าจะพัฒนาทักษะให้ดีขึ้นเท่านั้นเท่านี้ แต่ให้ทำสิ่งเล็กๆ ย่อยๆ
ในแต่ละเรื่องให้ออกมาดีให้สมบูรณ์แบบแทบจะ 100% ให้ได้ เช่น นักเทนนิสจะฝึกเสิร์ฟลูกเทนนิส
เขาก็จะจดจ่ออยู่กับการเสิร์ฟเป็นร้อยๆ ครั้ง จนได้ตำแหน่งของการเสิร์ฟที่ดีที่สุด
ธรรมชาติไมได้สร้างเราขึ้นมาให้เก่งขึ้นในชั่ วข้ามคืน แต่สร้างให้เราเรียนรู้ได้และมีพัฒนาการที่เติบโตขึ้นได้
พรสวรรค์เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเก่ง แต่การทำซ้ำ
และทำให้เพอร์เฟคจนทำ ล า ยขีดจำกัดของตัวเองได้ต่างหากคือเหตุผลที่จะทำให้เราเก่งขึ้น
4.มองการฝึกซ้อมให้เป็นเกม
เคล็ดลับนี้เกี่ยวข้องกับทัศนคติของผู้ฝึกทักษะโดยตรง
ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกว่าการฝึกซ้อมทักษะอยู่เสมอๆ
คือความจำเจ ความรู้สึกสนุกก็จะหายไป แต่ถ้าเรามองว่าการฝึกฝนตนเองเป็นเกม
สิ่งที่ทำได้คือแต้ม ส ม อ งก็จะสร้างความท้าทายขึ้นมาและจะทำให้เราบรรลุจุดประสงค์ได้ง่ายขึ้น
5.ฝึกตามลำพังในพื้นที่จำกัด
เคล็ดลับของการซ้อมตามลำพัง คือ การไม่มีความกดดันจากรอบข้าง
ส่วนการฝึกในที่แคบจะทำให้เราโฟกัสกับการฝึกและเห็นเป้าหมายได้ชัดเจนกว่าเดิม
เพราะพื้นที่ที่จำกัดจะสร้างกรอบความท้าทายที่เราต้องทำให้ได้ เช่น ในด้านการฝึกความคิด
การกำหนดจำนวนตัวอักษรจะท้าทายนักคิดว่า ข้อความแค่ไหนถึงจะเพียงพอต่อก้อนความคิด
ที่จะสามารถสื่อส า รออกไปได้รู้เรื่อง เมื่อเงื่อนไขของพื้นที่มีจำกัดอยู่เพียงเท่านี้
ส่วนสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราพัฒนาไปได้ไกล คือ การทำทักษะนั้นซ้ำๆ ให้มากๆ และอยู่กับตัวเองมากๆ
จนหาขีดความสามารถของตนเองพบแล้วมองหาข้อผิดพลาด จากนั้นลงมือแก้ไขสิ่งผิดพลาดนั้นทันที
แม้จะเป็นข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็ตาม ความกดดันจากความผิดพลาดจะบีบคั้นให้เราไม่อยากทำผิดซ้ำๆ
ท้ายที่สุดทักษะที่ถูกต้องก็จะเกิดขึ้นจากความพยายามแก้ไขมันอยู่เรื่อยๆ นั่นเอง
6.คิดให้เป็นภาพ
การคิด การหลับตา หรือการใช้ภาษากายในการฝึกฝนให้เหมือนว่าเรากำลังแสดงละครใบ้อยู่นั้น
ถือเป็นปิดการรับรู้สิ่งรบกวนภายนอกได้เป็นอย่างดี ทำให้เราเข้าสู่ความนิ่งจนเกิดสมาธิได้เร็วขึ้น
จนเราสามารถจดจ่ออยู่กับจินตนาการ ซึ่งจินตนาการที่เราสร้างภาพขึ้นมาจะเชื่อมโยงกับความรู้สึก
หรือพฤติกรรมของเราได้ง่ายกว่าคำพูด การพัฒนาทักษะต่างๆ จึงเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า
7.พักสักงีบ
การงีบหลับจะช่วยให้เรียนรู้ได้ดีขึ้น เพราะส ม อ งใช้พื้นที่ความทรงจำในการเก็บข้อมูลมหาศาล
จึงต้องการเวลาพักเพื่อเอาความทรงจำและทักษะที่ได้ฝึกฝนไปบรรจุไว้ในเ ซ ล ล์ความจำ
บรรดาอัจริยะระดับโลกหลายคนล้วนเป็นนักงีบกันทั้งนั้น อย่างอัลเบิร์ต
ไอน์สไตน์เองก็มักงีบระหว่างมื้อกลางวัน วันละ 20 นาที ซึ่งนักวิ จั ยประจำมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
ได้ค้นพบว่าการงีบหลับ 90 นาที จะช่วยให้ความจำของเราจำได้ดีขึ้นถึง 10 %
แต่ก็ใช่ว่าเราจะใช้การงีบหลับมาเป็นข้ออ้างให้เราฝึกฝนทักษะด้านต่างๆ ได้น้อยลง
จำไว้เถอะว่าไม่มีใครทำเราให้เก่งขึ้นได้นอกจากตัวเรา และวินัยจากตัวเราเองเท่านั้นที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ
ที่มา : w e a l t h m e u p