
คำพูดของหัวหน้าที่ทำให้คนฟังไม่พอใจ 5 ประเภท
เราสามารถแบ่งคำพูดของหัวหน้าที่ทำให้คนฟังรู้สึกหงุดหงิดใจได้ 5 ประเภท ดังนี้
หัวหน้าที่ชอบใช้คำพูดเหน็บแนม เสียดสี
ปกติต้องทำอยู่แล้วไม่ใช่หรอ
ลูกน้อง : เอก ส า ร ชุดนี้ให้ก๊อปปี้ไว้ไหมครับ
หัวหน้า : อืม ปกติต้องทำอยู่แล้วไม่ใช่หรอ
ภายในใจของลูกน้อง : แล้วคำว่า ปกติของหัวหน้า นี่คือยังไงล่ะครับ!!!
ถึงแม้ว่าคนพูดอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับคนฟังแล้ว
คงรู้สึกเหมือนถูกเหน็บแนมอยู่นิดๆ ล่ะครับ
ลูกน้อง : ถ่ายเอก ส า ร ชุดนี้เพิ่มไว้อีกชุดไหมครับ
หัวหน้า : อืม ฝากด้วยนะ
ถ้าลองเปลี่ยนคำพูดเป็น ฝากด้วยนะ หรือ วานหน่อยนะ
จะทำให้ดูซอฟท์ลงมากกว่าและไม่รู้สึกว่ากำลังถูกเหน็บอยู่ได้ครับ
รู้ดีหนิ
ลูกน้อง : คำนี้ ใช้บ่อยใน Marketing สินะครับ
หัวหน้า : อืม รู้ดีหนิ
คำพูดลักษณะนี้ คนฟังจะรู้สึกเหมือนโดนดูถูกได้
แม้จะไม่มีน้ำเสียงเข้ามาเกี่ยว ลองเปลี่ยนคำพูดเป็น
“ใช่เลย” หรือคำอื่นๆ ที่ไม่แฝงความรู้สึกดู ถูกเหน็บแนมไว้จะดีกว่าครับ
อุ๊ย
ลูกน้อง : วันนี้มีประชุมตอน 10:00 น. นะครับ
หัวหน้า : อุ๊ย~ จริงด้วย
ลูกน้อง : เอก ส า ร ที่ขอให้หัวหน้าเซ็นเมื่อวาน ได้รึยังครับ
หัวหน้า : อุ๊ย~ รอแปบนึงน้า
คำพูดนี้คุณอาจใช้เป็นคำแก้ตัวเมื่อลืมทำอะไรไปบางอย่าง
แต่บางครั้งก็ทำให้คนฟังรู้สึกหงุดหงิดใจได้ไม่น้อย
เพราะฉะนั้นหัวหน้าควรใช้เลือกคำพูดที่ฟังแล้วไม่คลุมเครือ ตอบให้ชัดเจนจะดีกว่าครับ
ก็ทำได้หนิ
ลูกน้อง : งานที่หัวหน้าสั่งมาผมทำเสร็จแล้วครับ
หัวหน้า : อืม ก็ทำได้หนิ
ในสถานการณ์แบบนี้ แทนที่จะพูดคำที่ให้ความรู้สึกไปในทางลบ
คำพูดเหน็บแนม ควรพูดขอบคุณหรือขอบใจมากกว่าครับ
สำหรับคนฟังเองพอได้ยินคำขอบคุณ ก็ทำให้มีแรงใจในการทำงานมากขึ้นด้วย
คนส่วนใหญ่เขาก็ทำกันนะ
ลูกน้อง : ทำอย่างนี้ก็ได้ใช่ไหมครับ
หัวหน้า : คนส่วนใหญ่เขาก็ทำแบบนี้กันนะ
คนที่ได้ฟังคำพูดแบบนี้ ต้องมีคิดกันบ้างล่ะว่า
คนส่วนใหญ่ที่พูดถึงนี่คือใคร
มาจากไหน เกี่ยวอะไรกับการสนทนาครั้งนี้
นอกจากนี้เป็นธรรมดาที่คนเราจะรู้สึกไม่ชอบใจ
เมื่อโดนเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
ดังนั้นการเลี่ยงคำพูดในเชิงเปรียบเทียบ
จึงเป็นอีกเรื่องที่สามารถรักษาน้ำใจของคนฟังได้ครับ
อย่างนั้นหรอครับ
หัวหน้า : อ๋อ~ อย่างนั้นเองหรอครับ
จริงอยู่ ที่การพูดสุภาพเป็นเรื่องที่ควรพึงกระทำกัน
แต่ในอีกแง่หนึ่ง การที่คนเป็นหัวหน้าใช้การพูดสุภาพกับลูกน้อง
โดยที่ไม่ใช่นิสัยของหัวหน้าคนนั้นอยู่แล้ว
คนฟังอาจตีความหมายคำพูดนั้นไปในเชิงเหน็บแนมได้
ถ้าคุณไม่ใช่คนที่พูดสุภาพเป็นนิสัยอยู่แล้ว
ให้พูดตามสไตล์ปกติของคุณเองจะดีที่สุดครับ
ว่างไหม?
ลูกน้อง : (กำลังพิมพ์งานอยู่)
หัวหน้า : ยามาดะคุง ว่างไหม?
ลูกน้อง : …ครับ ว่างครับ
เมื่อโดนหัวหน้าถามว่า ว่างไหม จะมีพนักงานสักกี่คนที่กล้าตอบว่า ไม่ว่าง
หลายๆ คนก็คงมีแอบคิดบ่นในใจด้วยซ้ำไป
แต่ในเมื่อเราอยู่ในตำแหน่งผู้ใต้บังคับบัญชา
ถึงแม้ในใจจะค้านหัวชนฝาแค่ไหน เราก็ต้องตอบว่าว่างไว้ก่อน
หัวหน้าที่ชอบใช้คำพูดเชิงบังคับ
เข้าใจไหม
หัวหน้า : ตรงนี้มันไม่ได้ทำแบบนี้นะ เข้าใจไหม?
คำพูดแบบนี้จะทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนโดนบังคับให้ตอบว่า เข้าใจ
เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถตอบปฏิเสธว่าไม่รู้ หรือไม่เข้าใจได้
ซึ่งหากคนฟังไม่เข้าใจจริงๆ ก็ไม่กล้าที่จะถามต่อไป
เพราะกลัวว่าถ้าตอบว่า ไม่เข้าใจ
จะทำให้หัวหน้าไม่ไว้ใจให้เขาทำงานต่อได้
จะหยุดเหรอ
ลูกน้อง : อาทิตย์หน้าขอหยุดวันจันทร์นะครับ
หัวหน้า : เอ๊ะ จะหยุดหรอ?
ลูกน้อง : ใช่ครับ…
“จะหยุดหรอ” “จะกลับบ้านแล้วหรอ”
ใครเคยโดนหัวหน้าพูดแบบนี้ใส่บ้างครับ?
หัวหน้าที่พูดออกไปอาจจะพูดด้วยอารมณ์ขัน
ไม่ได้จริงจังอะไร แต่สามารถสร้างความรำคาญให้คนฟังได้ไม่น้อยครับ
ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ?
ลูกน้อง : นี่คืองานที่ต้องทำวันนี้ใช่ไหมครับ?
หัวหน้า : ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ?
ลองสมมติ เหตุการณ์ต่อจากนี้นะครับ
หัวหน้า : ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ?
ลูกน้อง : ผมลืมไปแล้วครับ
พนักงานคนนั้น คงได้โดนหัวหน้าเขม่นแน่นอน
ยิ่งกับคนญี่ปุ่นที่เคร่งครัดในเรื่องความสัมพันธ์
ระหว่างหัวหน้าและลูกน้องแล้วด้วย อาจไม่จบแค่โดนเขม่นเฉยๆ ครับ
เคยบอกแล้วไง
ลูกน้อง : สินค้าตัวนี้สั่งมา 100 ใช่ไหมครับ?
หัวหน้า : ก็เคยบอกแล้วไง ว่าให้สั่งมา 100 เสมอ
คำพูดนี้จะทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนตัวเองได้พูดอะไรผิด
หรือทำอะไรผิดไป สำหรับลูกน้องอาจแค่ต้องการยืนยันข้อมูลให้แน่นอน
เพื่อให้งานถูกต้องไม่มีความผิดพลาด
ในการทำงานของคนญี่ปุ่น หัวหน้าที่พูดแบบนี้
จะทำให้การทำงานแบบ HOURENSO เป็นไปด้วยความยากลำบาก
ทำอะไรอยู่เหรอ?
ลูกน้อง : งานที่สั่งไว้ยังไม่เสร็จครับ
หัวหน้า : เอ๊ะ แล้วมัวแต่ทำอะไรอยู่เหรอ?
หากคุณต้องการเป็นหัวหน้าที่ดีให้กับลูกน้องแล้วละก็
นี่อาจเป็นหนึ่งในคำพูดที่ไม่มีความจำเป็นต้องพูดเลยอย่างยิ่ง
เพราะคำพูดนี้อาจทำให้คนฟังรู้สึก แ ย่
และสูญเสียแรงจูงใจในการทำงานไปได้ครับ
ก่อนที่จะต่อว่าหรือใช้อารมณ์ ควรเข้าใจสภาพการณ์ของพนักงาน
ลูกน้องของคุณก่อน แล้วค่อยถามหาเหตุผลว่า
เพราะอะไรงานของเขาถึงยังไม่เสร็จ
เจอปัญหาตรงไหน แล้วดูว่าเราสามารถให้คำแนะนำอะไรได้รึเปล่า
หัวหน้าที่มีคำพูดติดปาก
แปลกนะ
หัวหน้า : แปลกนะ ผมเป็นคนเข้ากับคนแปลกหน้าได้ยากมากเลย
หัวหน้า : แปลกนะ ทำไมมันถึงไม่ราบรื่นเลยล่ะ
อาจเป็นคำพูดที่ไม่ได้แฝงความรู้สึกเหน็บแนม
หรือบังคับอะไร แต่ก็สร้างความหงุดหงิดใจ
ให้กับคนฟังได้ไม่น้อย หากพูดนำหน้าทุกๆ ประโยคในการสนทนา
ขอโทษนะ
หัวหน้า : ขอโทษนะ ช่วยทำงานนี้ให้เรียบร้อยด้วยล่ะ
หัวหน้า : ขอโทษนะ ทำงานชิ้นนั้นด้วยได้ไหม?
ในการทำงานของคนญี่ปุ่น เวลาจะสั่งงานหรือไหว้วานอะไร
คนที่เป็นหัวหน้ามักจะชอบพูด ขอโทษ (ที่รบกวน)
กันจนเป็นคำติดปาก ซึ่งฟังดูเหมือนคนพูดจะเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน
แต่ในความเห็นของคนญี่ปุ่นหลายๆ คนก็รู้สึกว่า การพูดขอโทษบ่อยๆ
ไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความอ่อนน้อมขนาดนั้น
กลับกันยังทำให้คนฟังรู้สึกรำคาญ ได้แต่ตั้งคำถามว่า
ถ้าจะขอโทษขนาดนี้ ทำไมไม่ทำงานชิ้นนั้นด้วยตัวเองนะ
สรุปแล้ว
หัวหน้า : สรุปแล้วก็คือความตั้งใจยังไม่มากพอไง
หัวหน้า : สรุปแล้วก็จะลาออกใช่ไหมล่ะ
คงมีหัวหน้าหลายๆ คนที่ชอบฟังข้อสรุปจากลูกน้องจนคำๆ นี้
กลายเป็นคำพูดติดปาก แต่บางครั้งคำนี้
ก็สามารถสร้างความรำคาญและ ความรู้สึกถูกเหน็บแนม ให้กับคนฟังได้
หัวหน้าที่ชอบถามกลับ
เอ๊ะ…หรอ?
ลูกน้อง : ยืนยันเอก ส า ร นี้ให้หน่อยครับ
หัวหน้า : เอ๊ะ ผมต้องเป็นคนยืนยันให้หรอ?
ลูกน้อง : ผมเอาเอก ส า ร ไปให้ท่านประธานแล้วครับ
หัวหน้า : เอ๊ะ เอก ส า ร นั้นต้องส่งให้ท่านประธานด้วยหรอ?
เมื่อเจอคำพูดแบบนี้ของหัวหน้าบ่อยๆ เข้า ลูกน้องจะรู้สึกกังวลใจ
ว่าตัวเองได้ทำงานอะไรผิดพลาดไปรึเปล่า
และอาจกลายเป็นคนสูญเสียความมั่นใจไปได้เลย
แล้ว?
ลูกน้อง : เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวโตเกียวดิสนีย์แลนด์มากขึ้น
เราเลยคิดจะนำมิกกี้ เ ม า ส์ ที่พูดด้วยภาษาอังกฤษเข้ามาครับ
เรื่องรายละเอียดยังไม่ได้กำหนดไว้แน่ชัด และคำนวนค่าใช้จ่ายไว้ที่ 10 ล้านเยน ต่อเดือนครับ
หัวหน้า : แล้ว?
ในขณะที่ลูกน้องรายงานผลของการทำงานอย่างขะมักเขม้น
หัวหน้ากลับตอบกลับมาแค่คำสั้นๆ คำเดียวแบบนี้
ต่อให้คนพูดไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่คนฟังก็คงรู้สึกติดลบไปแล้ว
แล้วยังไงต่อ?
ลูกน้อง : เอก ส า ร ขอเบิกค่า business trip ของคุณยามาดะ มีจุดที่ผิดปกติอยู่ครับ
หัวหน้า : แล้วยังไงต่อ?
ที่พูดแบบนี้ออกมา คงเพราะหัวหน้าอยากฟังข้อสรุปของเรื่องทั้งหมด
แต่การตอบกลับด้วยคำพูดอย่าง แล้วยังไงต่อ หรอ แล้วไงล่ะ ฯลฯ
อาจทำให้คนฟังรู้สึกว่าคุณไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่เขาพูดสักเท่าไร
หัวหน้าที่ชอบใช้คำพูดแสดงถึงความไร้น้ำใจ เย็นชา
คิดเองสิ
ลูกน้อง : คุณทานากะครับ สถานที่สำหรับการประชุมในวันพรุ่งนี้จัดที่ไหนดีครับ
หัวหน้า : อืม…นายคิดด้วยตัวเองได้ไหม
หัวหน้าหลายๆ คนก็ใช้วิธีการให้พนักงานเรียนรู้งานด้วยตัวเอง
เพื่อให้พนักงานได้พัฒนาศักยภาพอย่างเต็มที่
แต่หัวหน้าบางคนรู้สึกว่าการสอนงานเป็นอะไรที่ยุ่งยาก
เพื่อตัดความรำคาญ จึงเลือกที่จะใช้คำพูดแบบนี้ออกไป
ทำ ร้ า ย จิตใจคนฟังโดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้การทำงานด้วยกันต่อจากนี้ไม่ราบรื่น
ตอนนี้กำลังยุ่งอยู่
ลูกน้อง : หัวหน้าครับ ขอเวลาสักครู่ได้ไหม
หัวหน้า : โทษที ตอนนี้กำลังยุ่งอยู่
พอลูกน้องถามอะไร ก็เอาแต่ตอบไม่ว่าง
คนที่เป็นหัวหน้าในลักษณะนี้จะทำให้ลูกน้องไม่อยากที่จะถามอะไรอีก
เพราะรู้ว่ายังไงหัวหน้าก็ตอบว่ายุ่งกลับมา
และท้ายที่สุดการพูดคุยกันระหว่างหัวหน้าและลูกน้องก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ
ซึ่งบริษัทไหนที่การสื่อ ส า ร ระหว่างหัวหน้าและลูกน้องน้อยเกินไป
ไม่ใช่บริษัทที่ดี เพราะการพูดคุยกัน
สำหรับพนักงานถือเป็นการเรียนรู้วิธีการทำงานอีกแบบหนึ่ง
อือ อืม เออ
ลูกน้อง : นัดบริษัท A ได้แล้วครับ
หัวหน้า : อืม
การตอบรับแค่ อืม คำเดียวอาจไม่เป็นอะไร
แต่ให้ความรู้สึกเย็นชา แก่คนฟังได้ไม่น้อยเลย
ลองแทนที่ด้วย เก่งมาก หรือ ทำได้ดีมาก จะดีกว่าครับ
ลูกน้อง : ไปทานข้าวนะครับ
หัวหน้า : อือ
ลูกน้อง : เอก ส า ร ที่ขอไว้เสร็จแล้วครับ
หัวหน้า : อืม
ลูกน้อง : ช่วยตรวจสอบเอก ส า ร ชุดนี้ด้วยครับ
หัวหน้า : เออ
จริงแล้วหัวหน้าอาจไม่ได้มีเจตนาให้คนฟังรู้สึกว่าคำตอบ
ที่เขาให้ไปฟังดูห้วนๆ หรือเย็นชา แต่อาจเพราะเลือกใช่คำผิด
จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนฟังจะรู้สึกเช่นนั้น หากลองเปลี่ยนเป็นคำพูดแบบนี้
ลูกน้อง : ไปทานข้าวนะครับ
หัวหน้า : อือ ไปทานเลย
ลูกน้อง : เอก ส า ร ที่ขอไว้เสร็จแล้วครับ
หัวหน้า : อืม ขอบใจมาก
ลูกน้อง : ช่วยตรวจสอบเอก ส า ร ชุดนี้ด้วยครับ
หัวหน้า : โอเค ได้
นอกจากจะไม่เย็นชาเกินไปแล้ว
ยังเป็นการสร้างความประทับใจให้คนฟังได้อีกด้วยครับ
คุณ, เธอ
หัวหน้า : คุณคิดว่ายังไง?
หัวหน้า : แล้วเธอล่ะ?
การใช้ คุณ เธอ เรียกอีกฝ่ายนั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่ แ ย่ เสมอไปครับ
เพียงแต่อาจทำให้เกิดความรู้สึกห่างเหินหรือ
แฝงความรู้สึกในทางลบเอาไว้ได้ เช่น ทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนโดนดูถูกอยู่ เป็นต้น
สรุป
เป็นยังไงกันบ้างครับ กับเนื้อหาที่เราได้นำมาเสนอในครั้งนี้
ในโลกมีคนอยู่มากมาย หลากหลายบุคลิก
แน่นอนว่าเราไม่สามารถไปบังคับให้เขาทำตามในสิ่งที่เราต้องการได้ทั้งหมด
การพูดก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากฟังคำพูดไม่ดี บั่ น ท อ น จิตใจ ใช่ไหมครับ
และแม้ว่าบางครั้งเราจะระมัดระมัดระวังคำพูดมากแค่ไหน
ก็อาจจะพลั้งปาก พูดทำ ร้ า ย จิตใจคนอื่นไปได้
ดังนั้นการคิดถึงใจเขาใจเรา คิดก่อนพูด ไม่ใช้อารมณ์มาตัดสินใจ
จึงเป็นอีกสิ่งที่ทุกคนควรมีไว้ เพื่อให้การทำงานเป็นไปได้ด้วยดี และทุกฝ่ายสบายใจครับ
ที่มา : h r n o t e a s i a