
1.. กลัวว่าคนอื่นจะมองยังไง
หลายคนไม่กล้าที่จะลงมือทำอะไรใหม่ๆ เพราะกลัวคนอื่นจะมองตัวเองแปลกไป
เช่นไม่กล้าไลฟ์สดเพื่อกลัวคนอื่นจะมองว่าเราตกต่ำถึงขนาดต้องมาไลฟ์สดแนะนำสินค้าหรือบริการต่างๆ ทั้งๆ
ที่คุณเองก็รู้อยู่เต็มใจว่าสิ่งที่คุณทำคือสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้อง ไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อนหรือทำในสิ่งที่ก ฎ ห ม า ย ห้าม
ดังนั้นคุณต้องไม่ให้ความคิดเห็นของคนอื่นหยุดคุณไม่ให้ทำในสิ่งที่ใช่สำหรับคุณอีกต่อไป
2. งานปัจจุบันฉันทำได้ดีกว่าใคร
คุณอาจคิดว่าคุณเจ๋งในสิ่งที่คุณทำอยู่ และไม่อย ากให้คนอื่นมาทำงานชิ้นนี้แทนคุณ
เพราะคุณไม่เชื่อใจว่าพวกเขาเหล่านั้นจะทำงานนี้ได้ดีเท่าคุณ แต่รู้หรือไม่ว่า
เจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น พวกเขาล้วนแล้วแต่จ้างคนที่เก่งกว่าพวกเขามาทำงานห้แทบทั้งสิ้น
จงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง เพื่อที่คุณจะได้มีเวลาไปสร้างรายได้ให้มากขึ้นกว่าเดิม
3. ชอบสร้างตัวตนแบบเสแสร้ง
คนส่วนใหญ่นอกจากจะไม่หารายได้ให้มากขึ้นแล้ว กลับยังมีการใช้จ่ายเพื่อให้ตัวเองดูดีในสังคมโดยการเสแสร้งแกล้งทำ
ซึ่งเราจะเห็นบ่อยๆ เช่น งานบวชก็กู้หนี้ยืมสินมาจัดงาน มีรถแห่นาคพร้อมเครื่องเสียงดังกระหึ่ม
เพียงเพื่อให้ตัวเองได้หน้าว่าได้จัดงานบวชลูกใหญ่โตไม่แพ้คนอื่น
แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคนรวยที่เขาจะแสดงออกตามความเป็นจริง ไม่เสแสร้ง
หรือสร้างภาพเพียงเพื่อให้ตนเองดูดีในสังคม แต่ในกระเป๋ากลับไม่มีตังค์
4. ขี้อายเกินเหตุ
อย่าใช้ข้ออ้างความขี้อาย ความไม่กล้า ความเป็นโลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบพบปะผู้คน
ไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า มาใช้เป็นเหตุผลที่คอยปิดกั้นเส้นทางความสำเร็จของคุณ
เพราะคุณอย่าลืมว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม และหากคุณต้องการร่ำรวยจากสังคมที่คุณอยู่
คุณก็ต้องสร้างคุณค่าให้แก่ผู้อื่น เพราะยิ่งคุณสร้างคุณค่าให้แก่ผู้อื่นได้มากเท่าไหร่
คุณก็ยิ่งร่ำรวยมากขึ้นเท่านั้น เพราะคนอื่น ๆ ยินดีที่จะใช้เงินเพื่อตอบแทนหรือแลกเปลี่ยนกับคุณค่าที่คุณมีอยู่นั่นเอง
5. การให้เหตุผลที่จะไม่ลงมือทำ
ฉันยังเด็กเกินไปคนอื่นเขาคงไม่เชื่อใจในสิ่งที่ฉันจะทำหรอก
ฉันแก่ไป ฉันคงไม่สามารถเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ต้องใช้ในงานนี้ได้แน่ๆ
ฉันไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้เลย ฉันคงทำไม่ได้รอก
6. อิจฉาริษย า
คนส่วนมากสามารถหาเหตุผลมาทำให้ตัวเองไม่ต้องลงมือทำอะไรใหม่
โดยอาศัยความอิจฉาริษย านี้มาเป้นเครื่องมือในการทำลายคนที่มีรายได้มากกว่า หรือคนที่รวยกว่า เช่น
อิจฉาคนรวยที่อยู่ดีกินดีกว่า อิจฉาคนรวยมีรถสปอร์ต มีบ้ านหลังใหญ่โต
แต่สุดท้ายก็ได้แต่บ่นแต่ไม่เคยลงมือทำอะไรให้กับตัวเองเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเลย
7. มีข้ออ้างมากมายเพื่อที่ตจะไม่ต้องลงมือทำ
คนส่วนใหญ่จะมีลักษณะพิเศษอย่งหนึ่งคือมีข้ออ้างมากมาย
ที่พร้อมจะยกขึ้นมาเพื่อเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาไม่ลงมือทำในสิ่งที่จะสร้างรายได้ให้มากขึ้น ข้ออ้างต่างๆ ตัวอย่างเช่น
ฉันไม่มีเงินทุน
ฉันไม่มีเวลา
ฉันไม่มีความสามารถมากพอ
มันย ากเกินไปที่ฉันจะทำได้
มันไกลจากที่พักของฉัน
มันต้องลำบากแน่ ๆ
ฉันไม่สะดวกใจที่จะทำ
ฉันมีลูกแล้ว คงทำอะไรไม่ค่อยสะดวก
ซึ่งตรงกันข้ามกับคนรวยที่เขาจะไม่มีข้ออย่างใดในการที่จะไม่ทำ เช่นคนรวยที่มีลูก
เขาจะไม่อ้างว่าไม่สะดวกเพราะมีลูก แต่จะให้เหตุผลว่า “เพราะฉันมีลูก ฉันถึงต้องทำงานเพื่อให้ลูกที่ฉันรักได้รับแต่สิ่งดีๆ”
8. ต้องทำให้คนอื่นมีความสุขก่อน
คนจนหลายๆคน ที่ไม่กล้าเอาเวลาว่างของตนเองไปหารายได้เพิ่มเติม
เพียงเพราะแคร์คนรอบข้าง กลัวว่าเขาจะไม่มีคนดูแล เอาใจใส่ โดยลืมไปว่าสภาพของตัวเองปัจจุบันย่ำแ ย่ขนาดไหน
9.ไม่อย ากออกจากพื้นที่สบายของตนเอง
พื้นที่สบายหรือ Comfort Zone คือจุดที่ทำให้คนเราทุกคนรู้สึกปลอดภัยถ้าไม่ก้าวออกไปจากจุดนี้
แต่ Comfort Zone หรือความสะดวกสบายก็ต้องแลกมาด้วยการหมดโอกาสที่จะก้าวไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
สิ่งที่สร้างรายได้ได้สูงกว่า เพราะสิ่งดีๆ เหล่านี้มันอยู่นอก Comfort Zone นั่้นเอง
ตรงกันข้ามกับคนรวยเพราะพวกเขาพร้อมที่จะก้าวออกจากจุดที่สบายและปลอดภัย
ไปยังจุดที่มีความเ สี่ ย งมากกว่า แต่แลกมาด้วยความสำเร็จที่มากกว่า และรายได้ที่สูงกว่า
10. ชอบตัดสินคนอื่นจากภายนอก
การตัดสินคนอื่นจากภายนอกนั้นมันเป็นเรื่องง่ายมากๆ เพราะไม่ต้องอาศัย
ความรู้หรือเหตุผลที่เหมาะสมใดๆ ใช้อคติล้วนๆ นี่คือเรื่องราวปกติทั่วไปที่พบเห็นทุกวันทางโซเซี่ยล
แต่มันเกี่ยวข้องอะไรกับความรวยหรือความจนหล่ะ
เกี่ยวข้องกันซิ เพราะหากคุณเห็นคนรวยแล้วตัดสินพวกเขาว่า พวกเขารวยจากมรดกทรัพย์สิน
ที่แก่งแ ย่งมาจากตระกูล รวยจากการโกง รวยจากการทำธุรกิจผิดกฏหมาย
พวกคนรวยเป็นคนไม่ดี ในท้ายที่สุด ในหัวของคุณก็จะเริ่มสร้างภาพว่า
ฉันเ ก ลี ย ดคนรวยเพราะคนรวยเป็นคนไม่ดี และฉันก็ไม่อย ากเป็นคนไม่ดี
ดังนั้นฉันเลยไม่เป็นคนรวย สรุปแล้วคือฉันยอมจน ยอมมีรายได้เท่าๆกับรายจ่ายในแต่ละเดือนก็พอ ว่างั้น
ดังนั้นอย ากรวย อย่ารีบตัดสินคนจากภายนอก ให้ดูลึกๆ ในรายละเอียด เพื่อที่เราจะได้พบช่องทางหารายได้เหมือนกันเขาได้
11. น้ำเต็มแก้ว รู้หมดทุกอย่างแล้วไม่ต้องมาสอน
คนรวยคือคนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองรู้ทุกเรื่อง เมื่อเมื่อไม่รู้ทุกเรื่องก็เป็นโอกาสที่ทำให้ต้องศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ
ตลอดเวลา ทำให้เห็๋นช่องทางหารายได้เพิ่มมากขึ้น เพราะเทคโนโลยี่ไปเร็วมากๆ อะไรที่เรารู้และชำนาญอาจจะตกยุคไปแล้วก็ได้
ตรงกันข้ามกันคนส่วนใหญ่ที่มักจะขี้เกียจในการหาความรู้ใหม่ๆ หาลู่ทางใหม่ๆ เพื่อให้มีรายได้เพิ่ม
โดยอ้างอยู่คำเดียว “ฉันรู้หมดแล้ว ไม่ต้องเรียนรู้อะไรเพิ่ม”
ทำให้ขาดโอกาสที่จะได้พบช่องทางหารายได้ใหม่ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย กว่าจะรู้ตัวอีกทีโอกาสใหม่ๆ นั้นก็ตกยุคไปซะแล้ว
12.กลัวไปหมดทุกอย่าง
หลายคนไม่กล้าล ง ทุ น หารายได้เพิ่ม เพราะกลัวจะขาดทุน กลัวจะเสียเวลาเปล่า กลัวจะขายหน้าถ้าทำไม่สำเร็จ
ทำให้ตนเองติดอยู่หลังกำแพงความกลัว ซึ่งแตกต่างจากคนรวยที่จะตัดความคิดเหล่านี้ออกไปจากหัว
ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มลงมือทำ ทำให้คนรวยประสบความสำเร็จเพราะก้าวข้ามกำแพงความกลัวไปแล้ว
13.โทษได้ทุกอย่าง ยกเว้นโทษตัวเอง
คุณคงจะเคยเห็นมาด้วยตัวเอง กับคนที่มักจะโทษๆๆ อะไรก็ตามที่พอจะนึกได้
ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ตนเองไม่มีเงินมากขึ้น เช่น โทษรัฐบาลว่าทำให้เศรษฐกิจย่ำแ ย่
โทษแฟนว่าทำให้ตนเองตกต่ำหาเงินไม่ได้ โทษเพื่อนสนิทว่ามัวแต่พาไปทำอะไรก็ไม่รู้ทำให้ไม่มีเวลาหาเงิน
สรุปแล้วคือโทษทุกอย่างยกเว้นที่จะหันมาโทษตัวเอง ลองหันไปมองคนที่เขารวยๆดู
เขาไม่เคยโทษอะไรทั้งสิ้นเพราะปัญหาทุกอย่างมันมีทางแก้เสมอ
ที่มา : p h o n g x o d i a