
ไม่มีความสุขกับงานเพราะเพื่อนร่วมงาน ทำยังไงดี
อีกหนึ่งปัญหาที่แวนได้ยินมาบ่อยมาก จากการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการการทำงานและความก้าวหน้า
สิ่งหนึ่งที่ต้องมาทำความเข้าใจกันก่อน คือ สถานที่ทำงานเป็นที่ที่ทุกคนต้องสร้างผลงาน
และส่วนใหญ่มีระบบวัดผลการทำงานออกมาเป็นตัวเลข ซึ่งทุกคนล้วนต่างต้องพยายาม
เพื่อให้ผลงานออกมาดูดี และเป็นที่ยอมรับในที่ทำงาน รวมทั้ง
เพื่อให้ตัวเองทั้งก้าวหน้าในตำแหน่ง และได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วย
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติ ที่มนุษย์เราต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่กดดันให้ต้องแข่งขันกัน
สร้างผลงานโดยปริยาย การอยู่รอดเพื่อปากท้องเป็นเรื่องสำคัญ
ทำให้แวนนึกถึงบรรดาหนังหรือซีรีย์ซอมบี้ ที่เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันหลายคน
ท้ายที่สุดแล้วทุกคนต่างเผยธาตุแท้ และทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด
ท่ามกลางภยันตรายรอบด้าน แม้ต้องเล่นพรรคเล่นพวก หรือหักหลังคนอื่นก็ตามอย่างไรก็ตาม
ชีวิตจริงคงไม่ได้ เ ล ว ร้ า ย เท่าในหนัง แม้จะมีบางคนที่นิสัยไม่ดีแบบนั้นจริง แต่ก็พบว่าเป็นส่วนน้อย
เอาล่ะค่ะ หากว่าคุณกำลังโคจร หรือกรรมจัดสรรให้คุณต้องไปประสบพบเจอกับเพื่อนร่วมงานที่ทำให้คุณทุกข์
จนคุณไม่อยากไปทำงานล่ะก็ ลองพยายามหาทางรับมือกันซักตั้งก่อนค่ะ
อย่าเพิ่งยอมแพ้ง่าย ๆ เพราะงานที่ดีที่เหมาะกับคุณและยังค่าตอบแทนดีนั้น จะว่าไปก็อาจหาไม่ได้ง่ายนักค่ะ
1. เพื่อนร่วมงานที่ชอบโยนงาน
หลายครั้งที่คนใจดีมีน้ำใจกับเพื่อน คนที่อยากผูกมิตรกับคนอื่น ๆ
หรือคนที่ทำงานได้หลายอย่าง กลับกลายเป็นคนที่โดนโยนงานที่คนอื่นไม่อยากรับผิดชอบมาให้มากที่สุด
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ขั้นแรกขอให้มองในทางดีไว้ก่อนว่า
แสดงว่าพื้นฐานจิตใจคุณเป็นคนดี มีน้ำใจ แต่คนอื่นดันใช้ความดีตรงนี้เป็นช่องโหว่เพื่อเอาเปรียบคุณ
ขอแนะนำให้คุณทำบอร์ดหรือชาร์ตงานที่คนอื่นโยนมาให้คุณทำ
โชว์ให้เห็นกันทั้งฟลอร์เลยค่ะ ว่าตอนนี้คุณรับภาระมากแค่ไหน และใครบ้างที่โยนงานมาให้คุณรับผิดชอบ
อย่างไรก็ตาม ทักษะการปฏิเสธนั้นสำคัญกับคุณมากค่ะ ตอนนี้คุณอาจไม่กล้าปฏิเสธ
เพราะความกลัวลึก ๆ ข้างในว่าคนอื่นจะไม่ชอบหรือมองคุณในทางที่ไม่ดี
แต่อยากให้ใช้วิจารณญาณเพื่อพิจารณาว่า งานแต่ละชิ้นนั้น
คุณควรรับมาทำจริง ๆ หรือคุณแค่ปฏิเสธคนอื่นไม่ไหว
การถูก เ ก ลี ย ด บ้างเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ค่ะ
ลองโดนบ้างซักครั้งสองครั้ง แล้วต่อไปคุณก็จะ เ ค รี ย ด น้อยลงเองค่ะ
แต่หากงานไหนคุณสามารถช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานได้ และคุณก็ไม่ได้้เดือดร้อน
ก็แนะนำว่าทำเถอะค่ะ การช่วยเหลือกันทำงานเพื่อเป้าหมายใหญ่ร่วมกัน บางครั้งก็เป็นสิ่งจำเป็นค่ะ
2. เพื่อนร่วมงานที่ชอบนินทา
มนุษย์ออฟฟิศหรือมนุษย์ที่มารวมกลุ่มกันเยอะ ๆ ก็หลีกเลี่ยงเรื่องการนินทา
หรือพูดถึงคนอื่นลับหลังไม่ได้หรอกค่ะ หากคุณได้ อ่ า น หนังสือ Homo Sapien
แล้วคุณจะพบว่า พฤติกรรมการ Gossip นี้มีแม้กระทั่งในลิงชิมแปนซี ดังนั้น
การนินทาจึงอาจเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากแรงขับตามสัญชาตญาณ
เพื่อการรวมกลุ่มกันอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อนก็ได้
หากคุณกำลังถูกเพื่อนร่วมงานเม้าท์ลับหลัง ก่อนอื่นขอให้อุ่นใจไว้ก่อนว่า
ไม่ใช่คุณคนเดียวในโลกที่โดน แต่ใคร ๆ ก็โดนค่ะ แม้กระทั่งแวนเองก็เคยโดนในครั้ง
ที่ทำงานอยู่ในองค์กร ดังนั้นขอให้คิดในทางดีไว้ก่อนว่า อย่างน้อยคุณ
ก็ไม่ใช่บุคคลที่ถูกคนอื่นมองข้าม แต่เป็นคนที่อยู่ในสายตา เป็นบุคคลที่คนอื่นให้ความสนใจ
สิ่งที่น่าลำบากใจสำหรับคุณที่สุด คงจะเป็นเรื่องการถูกนินทาในเรื่องที่ไม่ดี
บางครั้งมีการตีไข่ใส่สี แต่งเรื่องเสริมเข้าไปเพื่อให้ดราม่ามันสนุกขึ้นตอนที่เม้าท์กัน
ขอให้คุณคิดซะว่า นั่นเป็นการระบายความ เ ค รี ย ด ของคน
และมันทำให้พวกเขารู้สึกดีกับตัวเองเวลาที่เห็นคนอื่นมีข้อบกพร่องเหมือนกัน
ส่วนใหญ่เราจะพบนิสัยและพฤติกรรมแบบนี้ในคนที่ขี้อิจฉา คนที่ไม่ชอบเห็นคนอื่นได้ดีกว่า
และคนที่คิดว่าการกดคนอื่นลงจะทำให้ตัวเองดูดีขึ้น อยากให้คุณเปลี่ยนทัศนคติจากความกังวลใจ
เป็นความสังเวชใจและสง ส า ร คนเหล่านั้นแทนดีกว่าค่ะ
เพราะนั่นมันอาจเป็นทางระบายความ เ ค รี ย ด ไม่กี่ทางของเขา
อย่างไรก็ตาม หากเรื่องราวนั้นทำให้คุณเสียหาย และไม่ใช่เรื่องจริง แนะนำให้ขอคุยตรง ๆ
ว่าเหตุใดเขาจึงพูดเรื่องนี้ บางครั้ง การเคลียร์ตรง ๆ อาจทำให้เรื่องจบก็ได้ค่ะแต่หากคุณไม่กล้าที่จะทำแบบนั้น
ก็ขอให้เปลี่ยนที่ทัศนคติของคุณ อดทนอดกลั้น เงียบไว้ แล้วพอพวกเขาเบื่อหรือมีงานยุ่งมากก็จะหยุดไปเองค่ะ
3. เพื่อนร่วมงานที่ชอบเอาหน้า
หลายคนอาจเคยเจอกรณีที่เพื่อนร่วมงานแอบขอความช่วยเหลือนอกรอบ ให้คุณทำงานให้
แล้วเพื่อมิตรภาพอันงดงามหรือเหตุผลอันใดก็แล้วแต่ คุณก็เต็มใจทำให้อย่างดี
แต่ภายหลังคุณกลับพบว่า ผลงานของคุณถูกบรรจุในงานของเพื่อนร่วมงานคนนั้น
นำเสนออย่างภาคภูมิใจ แถมยังทำท่าว่าเป็นฝีมือของตัวเองและไม่ให้เครดิตคุณซักนิด
ขอให้ทำใจไว้ก่อนเลยค่ะ ว่าคนแบบนี้มีอยู่จริงและมีอยู่ทั่วไปในสังคมที่ต้องทำผลงาน
คนเหล่านั้นมักไม่กล้าหาญพอที่จะยืดอกรับว่า ฉันไม่มีกึ๋นพอจะทำงานนี้สำเร็จเพียงลำพังหรอก
ฉันต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น และฉันก็อ่อนแอเกินไปที่จะยอมรับว่า มีคนช่วยฉันทำงานนี้
หากคุณไม่สบายใจในข้อนี้ และถูกกระทำแบบนี้บ่อยเกินไป ข้อแนะนำคือ
คุณต้องให้คนอื่นรับรู้ด้วยว่า คุณเป็นเจ้าของงานส่วนนั้น การสื่อ ส า ร
และประกาศให้โลกรับรู้ไม่ใช่เรื่องผิด ตราบใดที่คุณเป็นคนลงแรงเองโดยไม่ได้ไปฉกเอางานใครมาแอบอ้าง
การกล้าป่าวประกาศมันคือการแสดงจุดยืนว่า ใครอย่าได้มาแอบเนียนใช้งานฟรีโดยไม่ให้เครดิต
ซึ่งเป็นการตัดตอนพวกนิสัยเสียชอบแอบเอาหน้าให้หายสิ้นไปจากที่ทำงาน
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างนั้นมีศิลปะในการสื่อ ส า ร และการป่าวประกาศ
คุณอาจต้องศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติมถึงวิธีการพูดอย่างไรไม่ให้เสียมิตรภาพและดูน่า เ ก ลี ย ด เกินไป
และขอยืนยันว่า การบอกให้คนอื่นรู้ว่างานชิ้นไหนเป็นผลงานคุณบ้าง ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใดค่ะ
4. เพื่อนร่วมงานที่ แ ท ง ข้างหลัง
กรณีโดนเพื่อนร่วมงาน แ ท ง ข้างหลัง ต่อหน้าอย่าง แต่พอเข้าตาจน
หรือลับหลังกลับพูดและทำอีกอย่าง ซึ่งทำให้คุณต้องเสียชื่อเสียง
เสียเครดิต หรือเดือดร้อน แบบนี้มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้งค่ะ
คำแนะนำแรกคือ หากถอยห่างคนแบบนี้ได้ให้ถอยห่างออกมา
และคุณควรเกิดการเรียนรู้ว่า คนคนนี้ไว้ใจไม่ได้
ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นแวนเชื่อว่าจะทำให้คุณฉลาด ทันคนขึ้นอีกเป็นกอง
อย่างน้อยคุณต้องโดนซักครั้ง ถึงจะทำให้คุณสตรองและมีภูมิคุ้มกัน
ในฐานะเพื่อนมนุษย์ บางครั้งคุณควรมีเมตตา และเข้าใจว่าทุกคนต่างต้องเอาตัวรอด
และไม่มีใครอยากโดนเชือด หากมีช่องทางในการเอาตัวรอด
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะใจถึงจนสามารถ แ ท ง หรือหักหลังคนอื่นได้
(ต้องเป็นคนที่จิตใจ โ ห ด เหี้ยมระดับหนึ่งทีเดียว)
เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำเดิมขึ้นอีก ครั้งต่อไปคุณควรเลิกให้ข้อมูลในเชิงลึกกับคนประเภทนั้นเสีย
แม้ไม่แนะนำให้คุณตอบโต้หรือมีเรื่องมีราว การหลีกเลี่ยงและถอยห่างจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดค่ะ
อย่าลืมนะคะ ว่าเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่จะน่ารักและนิสัยดีค่ะ แต่หากคุณพบเจอ
แต่พวกเสือสิงห์กระทิงแรดและพวก แ ท ง ข้างหลัง แสดงว่าต้องมีความผิดปกติบางอย่าง
ในวัฒนธรรมองค์กรนั้น หรือแม้กระทั่งตัวคุณเองที่ดึงดูดแต่คนพวกนั้น
มาอยู่รอบ ๆ ตัว ดังนั้นการเผ่นออกมาซะหากทำได้ อาจเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่งค่ะ
5. เพื่อนร่วมงานที่เห็นแก่ตัว
ด้วยภาวะการเอาชีวิตให้รอดจากที่ทำงาน จึงเป็นปัจจัย ก ร ะ ตุ้ น ที่ง่ายมาก
ที่จะทำให้คนเราแสดงความเห็นแก่ตัวและเอาแต่ประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง
แต่เลือกที่จะไม่มีน้ำใจกับคนอื่นที่ไม่ใช่พวกของตน หรือกับคนที่ตัวเองเห็นว่าไม่มีประโยชน์
ประการแรกอยากให้คุณทำความเข้าใจก่อนว่า ก่อนที่พวกเขาจะมีพฤติกรรมแบบนี้
อาจเกิดจากการที่พวกเขาได้เรียนรู้มาก่อนว่า การมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น
สุดท้ายตัวเองเหนื่อยและเดือดร้อน ทำให้พวกเขาต้องปรับตัวตน กลายเป็นคนที่เย็นชา
และเอาแต่ตัวเองรอดเท่านั้น หรืออาจได้รับการสั่งสอนจากรุ่นพี่
หรือผู้มาอยู่ก่อน ว่าควรเห็นแก่ตัวเข้าไว้แล้วตัวเองจะรอด
อย่างไรก็ตาม ยังมีคนอีกประเภทที่มีนิสัยแบบนั้นติดตัวมาตั้งแต่แรก
เป็นพื้นนิสัยดั้งเดิมของพวกเขาเอง ดังนั้นไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ยากที่จะเปลี่ยนพวกเขา ดังนั้น
คุณจึงไม่ควรคาดหวังให้ใครมีน้ำใจ เป็นคนดี ช่วยเหลือคนอื่นตั้งแต่แรก
หากคุณใจกว้างพอ แนะนำให้เป็นฝ่ายแสดงน้ำใจช่วยเหลือพวกเขาก่อน
มีส่วนไหนที่แม้ไม่ใช่หน้าที่คุณโดยตรง แต่ช่วยเหลือได้ก็ช่วยเหลือกันไป แล้วลองดูว่า
พวกเขาจะเกิดการเรียนรู้และปรับพฤติกรรมหรือไม่ ไม่แน่ว่าพอเวลาผ่านไป
พวกเขาอาจเริ่มเรียนรู้ว่ายังมีเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนที่มีน้ำใจและไม่จำเป็นต้องแบ่งพรรคแบ่งพวกขนาดนั้น
แต่หากทำแล้วไม่ได้ผล และงานบางอย่างของคุณจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากคนเหล่านั้น
คุณอาจต้องใช้วิธีขอความช่วยเหลือจากผู้มีอำนาจ เพื่อให้งานของคุณลุล่วงไป
นี่คือวิธีคิดและแนวทางการรับมือสำหรับเพื่อนร่วมงานที่ทำให้คุณรู้สึกไม่มีความสุขในที่ทำงาน
แต่อย่าลืมว่า โดยพื้นฐานลึก ๆ ข้างในแล้ว ทุกคนต่างอยากทำงานในที่ที่ทุกคน
เป็นมิตรและร่วมมือกันทำงาน แต่การที่พวกเขาเป็นแบบนั้นอาจเกิดจากประสบการณ์
ที่ผ่านมาหล่อหลอมให้พวกเขาต้องมีเกราะป้องกันตัวเอง
หากมองพวกเขาอย่างสง ส า ร และเห็นใจ ก็จะทำให้คุณสงบใจและปล่อยวางได้มากขึ้น และคาดหวังน้อยลง
แต่ความจริงคือ คนส่วนใหญ่คือเพื่อนร่วมงานที่น่ารัก จะมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่นิสัยไม่ดีกับคนอื่น
หากพวกเขาไม่รู้ตัว การตักเตือนสักครั้งอาจทำให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง
แต่หากเป็นนิสัยดั้งเดิม การสื่อ ส า ร หรือตักเตือนอาจช่วยอะไรได้ไม่มาก
เป็นได้คือหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด เพื่อรักษาความสงบและโฟกัสของคุณในการทำงานเพื่องานอย่างแท้จริง
และสิ่งสำคัญมากกว่านั้นคือ “คุณอย่ากลายเป็นเพื่อนร่วมงานนิสัยไม่ดี” ซะเอง ก็แล้วกันค่ะ
ที่มา : b y p i c h a w e e