1. จดบันทึกทุกการใช้จ่าย
ในแต่ละเดือนพอเงินไม่พอใช้ไปจนถึงสิ้นเดือน คุณก็ได้แต่เฝ้าสงสัยว่า เอ๊ะ! ทำไมกันนะเงินเดือนถึงไม่พอใช้ เงินมันหายไปไหนหมด คำตอบอยู่ตรงนี้แล้ว นั่นคือการจดบันทึกการใช้จ่ายของคุณนั่นเอง
ไม่ว่าค่าใช้จ่ายจะเล็กน้อย อย่างกาแฟหน้าตึกแก้วละ 20 บาท ไปจนถึงค่าใช้จ่ายใหญ่ ๆ อย่าง แป้งฝุ่นไร้สีจากเคาน์เตอร์ แ บ ร น ด์ กระปุกละเกือบ 2,000 บาท
เมื่อถึงสิ้นเดือนแล้วคุณย้อนกลับมาดูบันทึกนั้น คุณก็จะรู้ได้ทันทีว่าเงินเดือนของคุณ หมดไปกับอะไรบ้าง แล้วแต่ละอย่างจำเป็นมากน้อยแค่ไหน มีสิ่งไหนที่ไม่จำเป็นและสามารถตัดออกไปได้นั่นเอง
2. ซื้อของใช้ฟุ่มเฟือยให้น้อยลง
ของใช้ฟุ่มเฟือยเช่น กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ อุปกรณ์ไฮเทค แกดเจ็ต หรือสิ่งของที่เป็นของสะสม หรืองานอดิเรกต่าง ๆ เป็นสิ่งของที่หากไม่ซื้อมาก็ไม่ทำให้คุณเดือดร้อน หรืออาจจะเป็นสิ่งที่คุณมีอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องซื้อหามาใหม่ก็ได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่สิ่งของพวกนี้ คุณตัดสินใจซื้อมาเพราะความอยากได้มากกว่า ถ้าหากคุณอยากจะประหยัดเงิน คุณจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ลง
เพื่อให้มีเงินเหลือในกระเป๋ามากยิ่งขึ้น เราไม่ได้บอกให้คุณงดไปเลยนะคะ คุณคงอึดอัดจนอกแทบจะแตก ต า ย แน่ ๆ เอาเป็นว่าซื้อแต่พอดี อย่าให้เดือดร้อนตัวเป็นใช้ได้แล้วค่ะ
3. ทำ อ า ห า ร ทานเอง
แม้จะต้องเสียเวลาในการเตรียม อ า ห า ร แต่การเสียเวลานี้ก็ถือว่ามีแต่คุ้มกับคุ้ม เพราะการทำ อ า ห า ร ทานเองนั้น ช่วยประหยัดเงินให้คุณได้มากกว่า มีประโยชน์ในด้านความสะอาดปลอดภัย
แถมยังให้ผลเรื่อง สุ ข ภ า พ และการลดน้ำหนักด้วย เพราะคุณสามารถเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพเองได้ เลือกใช้วัตถุดิบที่ดีต่อ สุ ข ภ า พ และลดวัตถุดิบที่ไม่ดีต่อ สุ ข ภ า พ ลงได้ตามต้องการ
เช่น ลดการใช้น้ำมันและน้ำตาล เป็นต้น และที่สำคัญ มันช่วยประหยัดเงินให้กับคุณได้มากขึ้น เพราะการทำ อ า ห า ร ทานเองหนึ่งครั้ง สามารถเก็บ อ า ห า ร เอาไว้ทานได้อีก 2-3 วันเลยทีเดียว นอกจากนี้คุณยังสามารถห่อข้าวกล่องไปทานกลางวันที่ออฟฟิศได้อีกด้วย ประหยัดหลายต่อเชียวค่ะ
4. ซื้อของถูกไม่ได้แปลว่าประหยัดเงิน
จริงอยู่ที่คุณสามารถจ่ายน้อยกว่าด้วยการเลือกซื้อของถูก ๆ อย่างเช่น รองเท้าคู่ละ 199 บาทตามตลาดนัด แทนการซื้อรองเท้าจากร้านในห้างสรรพสินค้า แต่นั่นอาจจะไม่ช่วยให้คุณประหยัดเงิน เพราะของที่มีราคาถูก แน่นอนว่าต้นทุนในการผลิตก็ต้องน้อย เพราะใช้วัตถุดิบที่ไม่คงทนสมราคา การผลิตก็ไม่เนี้ยบ
และย่อมทำให้สินค้าเหล่านั้นมีอายุการใช้งานที่สั้นมาก เจอฝนเจอแดดหน่อยก็พังก็ขาดแล้ว เป็นเหตุให้คุณต้องไปหาซื้อมาใหม่อีก วนไปแบบนี้เรื่อย ๆ เผลอ ๆ
ในระยะเวลา 3 เดือน คุณอาจจะเสียเงินซื้อของยิบย่อยราคาถูกเหล่านี้ มากกว่าการซื้อของที่มีราคาสูงกว่าแต่ดีมีคุณภาพ และใช้งานได้คงทนไปเลยทีเดียวเสียอีกนะ
5. ลดการทาน อ า ห า ร นอกบ้าน
การไปทาน อ า ห า ร ตามร้าน อ า ห า ร หรือในห้างสรรพสินค้า แน่นอนคุณต้องจ่ายค่า อ า ห า ร ที่แสนจะแพง เพราะในราคา อ า ห า ร นั้น ถูกบวกกำไรและต้นทุนต่าง ๆ เข้าไปอีกมากมาย
ทั้งค่าบริการ ค่าเช่าที่ ค่าการตลาด ฯลฯ ดังนั้น การลดการไปทาน อ า ห า ร นอกบ้านก็จะช่วยประหยัดเงินได้มากขึ้น เลือกไปทานเฉพาะในโอกาสพิเศษเท่านั้นจะดีต่อกระเป่าเงินของคุณมากกว่า
6. ลดหรือเลิกสูบ บุ ห รี่
การสูบ บุ ห รี่ นั้น ถ้าพูดกันจริง ๆ ให้ประโยชน์กับชีวิตคุณน้อยมาก สิ่งที่คุณจะได้รับจาก บุ ห รี่ ล้วนแต่เป็นโทษทั้งนั้น ซึ่งไม่เพียงแต่คุณเท่านั้นที่ได้รับโทษจาก บุ ห รี่ มันยังลามไปให้โทษกับคนรอบข้างด้วย
และที่สำคัญคุณต้องเสียเงินเพื่อเอาโทษเหล่านั้นเข้าสู่ ร่ า ง ก า ย ของคุณ บุ ห รี่ ซองหนึ่งราคาเกือบ 100 บาท หากคุณสูบสัปดาห์ละ 2 ซอง เดือนหนึ่งคุณต้องเสียเงินไปประมาณ 800 บาทเลยทีเดียว
นอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงการเป็น โ ร ค ถุงลมโป่งพองและอื่น ๆ แล้ว ยังต้องเสียเงินให้กับมันอีกหรือ? ไม่ต่างจากการซื้อ โ ร ค เข้า ร่ า ง ก า ย แล้วแม้แต่น้อย หากคุณสามารถลดลงได้ จากสัปดาห์ละ 2 ซอง เป็นสัปดาห์ละ 1 ซอง ก็จะช่วยให้ สุ ข ภ า พ ของคุณดีขึ้น และช่วยประหยัดเงินได้มากขึ้นด้วย
7. ลดปาร์ตี้เที่ยวกลางคืน
จริงอยู่ที่คนเราต้องมีสังคมและต้องไปสังสรรค์กันบ้าง แต่แน่ใจหรือว่าจุดประสงค์ที่คุณไปเที่ยวไปปาร์ตี้ทุกวันนี้ เพื่อการเข้าสังคมเท่านั้นจริง ๆ คนหลายคนโดยเฉพาะวัยหนุ่มสาว
ชอบออกไปปาร์ตี้เที่ยวกลางคืนเพราะความสนุกมากกว่า ซึ่งการออกไปเที่ยวแต่ละครั้ง ทำให้คุณเสียเงินไปกับมันเป็นพันบาทเลยทีเดียว ลองคิดดูเล่น ๆ ถ้าคุณไปเที่ยวทุกคืนวันศุกร์และ เ ส า ร์
เสียเงินค่า เ ห ล้ า ค่าแท็กซี่ครั้ง 1,000 บาท เดือนหนึ่งคุณจะเสียเงินถึง 8,000 บาท เกือบหมื่นเลยทีเดียวนะ!! แล้วคุณจะเอาเงินที่ไหนไปใช้จ่าย ไปเก็บเงินกันล่ะ ฉะนั้น ลดความสนุกฉาบฉวยเหล่านี้ลงบ้าง ก็จะช่วยให้คุณมีเงินเหลือมากขึ้นนะ
ที่มา : s a n o o k
