![](https://jingjai999.com/wp-content/uploads/2022/10/3-7-850x491.jpg)
ในสังคมปัจจุบัน ไม่มีใครปฏิเสธได้เลยว่า เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิต
สมัยก่อนเมื่อมีคนพูดว่าเงินสามารถซื้อทุกอย่างได้
ก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งบอกว่า ไม่จริงหรอก เงินไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้
เช่น เวลา แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง เงินสามารถซื้อเวลาได้นะ เช่น นาย A นั่งรถโดยสารหรือรถทัวร์
จากกรุงเทพไปเชียงใหม่กับนาย B ที่ขึ้นเครื่องบินจากกรุงเทพ ไปลงที่เชียงใหม่เห็นความแตกต่างไหม?
แปลว่านาย B สามารถซื้อเวลาที่ต้องเสียไป หากมีเงินเท่านาย A นั่นเอง ดังนั้น
จะเห็นได้ว่าเงินเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ๆ ในชีวิตปัจจุบัน หากใครเงินน้อยก็ลำบากมาก
ใครเงินมากก็ลำบากน้อยยิ่งสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความผันผวนมาก
เกิดเหตุการณ์มากมายที่ทำให้เศรษฐกิจของโลกระส่ำระสาย สลับขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่เว้นทุกวี่วันแบบนี้
การที่จะสามารถหาเงินให้ได้เยอะ ๆ นั้น ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ธุรกิจแทบจะทุกสาย
ต่างเริ่มบ่นออกมาว่าขาดสภาพคล่อง ต้องคอยประคองตัวให้รอดกันไปก่อน
ทำให้มีการมองหาการลงทุนหรือเครื่องมือทางการเงินต่าง ๆที่จะสามารถมาแบ่งเบาภาระของเราให้ได้
ไม่มากก็น้อยหรือมีการให้ความรู้ทางด้านการเงินและมีการปรับ Mind set ให้แก่คนที่ต้องการรวย
ซึ่งประโยคที่ฮิตที่สุดประโยคหนึ่ง คือ หากเราอยู่อย่างคนจน ก็จะรวย อยู่อย่างคนรวย
ก็จะจนถ้าเราพยายาม แปลความหมายของประโยคนี้ “ อยู่อย่างจนจะรวย อยู่อย่างรวยจะจน”อย่างละเอียด
จะเห็นว่า มันก็ค่อนข้างที่จะเป็นความจริงเลยทีเดียว
โดยหากเราทำสลับกับข้อความข้างต้นก็จะทำให้เราจนลงอย่างแน่นอน
เพราะหากเรามีรายได้ 100 แต่เราใช้ 120 แปลว่า เราใช้เงินในอนาคต 20
และถ้าเราทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ดอกเบี้ยจากการใช้เงินในอนาคต ก็จะพอกไปเรื่อย ๆ
ทำให้สุดท้ายการเงินของเราก็จะพังแต่หากเราทำตาม เรามีรายได้ 100 เราใช้ 80 เราก็จะเหลือเก็บ 20
พอไปเรื่อย ๆ มันก็จะกลายเป็น 100 เป็นพันได้ในที่สุด แต่มันก็ยังมีนัยยะ บางอย่างซ่อนอยู่เช่นกัน
ไม่ใช่ว่าจะถูกต้อง 100% เสียทีเดียว เราจะมาลองเจาะลึกกันว่า ที่บอกว่า ไม่ถูกต้อง 100% คืออะไร
คือ หากเราทำตาม คำพูดข้างต้น 100% โดยไม่มองให้ลึกลงไป เราอาจจะไม่จนก็จริงอยู่
แต่เราก็จะไม่สามารถที่จะรวยขึ้นได้ เผลอ ๆ แม้จะไม่จน แต่ก็จะค่อย ๆ แ ย่ ลงเรื่อย ๆ
เพราะหากเรามีเงินเท่าเดิมแต่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น เราก็จะจนลงโดยอัตโนมัตินั่นเอง แต่หากเรามองให้ลึก
โดยเข้าใจความหมายที่แท้จริงที่ประโยคข้างต้นจะสื่อว่า “อยู่อย่างคนจน
คิดอย่างคนรวย ถึงจะรวย แต่หากอยู่อย่างคนรวยคิดอย่างคนจน อีกไม่นานก็จะจน”
จะเห็นได้ว่า ประโยคนี้ค่อนข้างจะเป็นจริงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะการนำวิธีคิด
จากคนที่ประสบความสำเร็จที่มักจะพยายามหาโอกาส ที่จะทำงานให้เกิดรายได้อย่างสม่ำเสมอ
การนำความคิดแบบนี้มาใช้ จะทำให้เรารวยขึ้นได้ไม่ช้า ก็เร็วแน่นอนและถึงแม้ว่าเราจะใช้ชีวิต
อย่างคนรวยแต่เราก็เอาความคิดของคนรวยมาใช้
ในเรื่องของการทำงาน ความพยายามต่าง ๆ เราก็อาจจะรวยได้เช่นกัน
เพียงแต่จะช้ากว่าการใช้ชีวิตแบบคนจน แต่กลับกันหากเราใช้ชีวิตอย่างคนจนแต่
ไม่เอาความคิดคนรวยมาใช้ ไม่นำหลักการณ์ แนวทางการทำงานต่าง ๆ
มาพัฒนาตัวเราให้ดีขึ้น เราก็จะไม่รวยขึ้น มีแต่จะยิ่งจนลง ๆ เพราะ พิ ษ ของเงินเฟ้อนั่นเอง
การคิดอย่างคนรวยทำยังไง?
คนรวยมักจะไม่พึ่งโชคชะตา คนรวยจะรู้เสมอว่าสิ่งที่เขาควรจะทำนั้น มีอะไรบ้าง
เช่น การเตรียมพร้อม แน่นอนบางครั้งเราอาจจะไม่ได้รับโอกาสดี ๆ เข้ามาในชีวิตจนเฝ้าอิจฉาคนอื่น
ว่าหากเรามีโอกาสแบบนั้นอีกครั้งเราก็น่าจะทำได้ “โอกาสแบบนั้นอีกครั้ง” คนรวยจะไม่คิดแบบนี้เด็ดขาด
คนรวยจะเป็นคนที่เตรียมพร้อมอยู่เสมอ หาความรู้ ฝึกทักษะ ทำซ้ำ จนเก่งโดยไม่รอโอกาสก่อน
แล้วถึงค่อยลงมือทำ และเมื่อถึงจังหวะเวลาที่เหมาะสม โอกาสที่เข้ามา
เขาจะคว้ามันเอาไว้และด้วยความพร้อมที่เขามีอยู่ ก็จะทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง
จะเห็นได้ว่าการนำแนวคิดจากประโยคเพียงประโยคเดียวมาใช้ ก็สามารถที่จะช่วยให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นได้
อยู่ที่ว่าเราจะเลือกปฏิบัติตามแนวทางไหน และมีวินัยหรือความมุมานะเพียงพอที่จะทำให้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่นั่นเอง
และสุดท้ายสิ่งที่อยากจะฝากไว้ก็คือ การที่เราได้เรียนรู้หรือจะนำแนวคิดของใครมาปฏิบัติหรือมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวนั้น
ไม่ว่าจะเป็นของคนรวย คนจน คนที่ประสบความสำเร็จหรือคนที่ล้มเหลว
เราก็ต้องอย่าลืมว่า คนนั้นไม่ใช่เรา และเราไม่สามารถเป็นเหมือนคน ๆ นั้นได้ 100%
เพราะว่าเรากับเขาเป็นคนละคนกันแต่อยาก จะให้นำแนวคิดเหล่านั้นมาพัฒนา
ใส่ความเป็นตัวเราเข้าไป ปรับนู่นนิด นี่หน่อย ให้เหมาะสมกับตัวเรา น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด
สู่การเป็นคนที่จะสามารถประสบความสำเร็จได้ในที่สุด
ที่มา : m o n e y h u b