![](https://jingjai999.com/wp-content/uploads/2022/10/2-10-850x491.jpg)
1 : ทรัพย์ที่มีค่าที่สุด คือ ตัวเราเอง
เมื่อถึงวัยเกษียณอายุ หลายคนเกษียณพร้อมกับเงินก้อนโต ตามระดับความสามารถของตน
ตามตำแหน่งหน้าที่การงานที่สิ้นสุดลง เป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ใช้ดำเนินชีวิตหลังเกษียณ
ช่วงชีวิตที่ไม่มีรายได้อีกต่อไป แน่นอนว่าโอกาสที่เราจะใช้เงินยามชราแบบสบาย ๆ
เป็นเรื่องที่ยาก เมื่อถึงเวลานั้น ความคิดที่ว่า จะใช้เงินส่วนนี้ไปกับการเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก
คงเป็นเพียงเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ เพราะนอกจากการใช้จ่ายอยู่กินแล้ว
ยังมีเรื่องสำคัญที่หลีกเลี่ยงได้ยากอย่างการรักษาอาการ เ จ็ บ ป่ ว ย
โอกาสที่เงินก้อนนั้นของคุณจะกลายเป็นค่ารักษาพยาบาลตัวเองจึงสูงมาก
ดังนั้น การดำเนินชีวิตแบบสมดุลทั้งกายและใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
รักษา สุ ข ภ า พ การกิน การออกกำลังกาย ให้เหมือนกับ การรักษาเงินทองในธนาคาร
2 : ความสามารถในการสร้างรายได้ vs รายจ่าย
หลายครั้งที่เราใช้จ่ายเงินออกไปโดยไม่รู้ตัว เป็นเพราะไม่ทราบต้นทุนด้านเวลาของตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่น เงินเดือน 20,000 บาท เวลางาน 176 ชม.ต่อเดือน
(= 22วัน x 8ชม) เฉลี่ยรายได้ 114 บาทต่อชม.
( = 20,000/176) แสดงว่าการกินบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างราคา 500 บาท
ในเวลา ชั่ ว โมงครึ่ง ต้องแลกกับการทำงานครึ่งวัน เป็นต้น
การเปรียบเทียบความสามารถทางรายได้กับสิ่งที่เรากำลังจะใช้จ่ายไป ในหน่วยเวลาเหมือนกัน
จะช่วยดึงสติการใช้จ่ายไม่เป็นเหตุเป็นผลของเรากลับมาได้ลักษณะนี้ยังสามารถ
ประยุกต์ใช้กับการว่าจ้างคนงานในลักษณะงานไม่สำคัญ เช่น การทำงานบ้าน
การทำงานที่เสียเวลาและไม่มีความสำคัญ เป็นต้น
หากการจ้างงานนั้นมีต้นทุนที่ถูกกว่าการเสียเวลาลงมือทำเอง
เพราะจาก ชั่ ว โมงเดียวกัน เราสามารถใช้ให้ก่อประโยชน์เกิดรายได้ที่สูงกว่าค่าจ้างที่เราจ่ายไป
3 : ระดับเงินกับระดับความสุขไม่เกี่ยวข้องกันเสมอไป
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่ทุกอย่างทำให้ดูเหมือนว่า ชีวิตนี้จะต้องรวยเท่านั้น
ถึงจะสบายได้ สร้างภาพลวงตาว่า มีเงินมากขึ้น จะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น
สังเกตได้จาก รายได้เฉลี่ยประชากรในตัวเมืองย่อมสูงกว่าพื้นที่ชานเมืองออกไป
คำถามคือ คนที่ย้ายเข้ามาทำงานในเมืองมีความสุขเพิ่มขึ้นหรือไม่ ?
คำตอบ คงสะท้อนภาพการใช้ชีวิตคนเมืองที่ดูต้องเร่งรีบ รับแรงกดดันในการทำงาน
และแข่งขันกับเวลาอยู่ตลอดเวลา แสดงว่า รายได้
ที่ได้รับเพิ่มมากขึ้น 20% ไม่ได้ทำให้ความสุขเพิ่มขึ้น 20% เลยสักนิด
ทั้งนี้ แน่นอนว่า เงินสามารถซื้อความสะดวกสบายและความปลอดภัยในชีวิตได้
และส่งผลต่อระดับความมั่นคงทางการเงินได้ แต่ไม่เสมอไป
สำหรับความคิดที่ว่า ฉันจะได้รับความสุขมากขึ้น เมื่อฉันมีเงินมากขึ้น
4 : กระแสเงินสดไหลออกไปควรน้อยกว่ารายได้ที่ไหลเข้ามา
วิธีเดียวที่จะช่วยทำให้เกิดความมั่นใจในฐานะการเงินได้ คือ การมีเงินเหลือจนถึงสิ้นเดือน แสดงให้เห็นว่า
แม้ว่าสถานะการเงินตอนนี้ จะไม่มีเหลือเก็บออมหรือลงทุน แต่อย่างน้อยก็ไม่ควรเป็นหนี้
การดำเนินชีวิตแบบใช้เงินอนาคตในสินทรัพย์จำเป็น เช่น บ้าน จริงอยู่
ที่มันตอบสนองความต้องการด้านที่อยู่อาศัยได้ทันที แต่ก็ อั น ต ร า ย
หากต้องแบกรับภาระหนี้ก้อนโต ในช่วงที่ความสามารถทางการเงินยังมีไม่มากพอ
ดังนั้น กระแสเงินสดไม่ว่าจะไหลเข้าหรือไหลออก จึงควรมาจากสิ่งที่วางแผนไว้
ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญแบบไม่มีที่มาที่ไปหรือไร้ประโยชน์
การรักษาความสามารถทางการเงินจากการลดค่าใช้จ่ายในสิ่งไม่จำเป็น
ประเมินและจัดลำดับความสำคัญทางการเงินอย่างระมัดระวัง
อาจจะสร้างความ อึดอัดเล็กน้อยในวันนี้ เพื่อความมั่นคงทางการเงินที่ดีในอนาคต
5 : ยิ่งลงทุนเร็ว ยิ่งสำเร็จเร็ว
หนึ่งในแนวคิดทางการเงินที่สำคัญที่สุด และเป็นความจริงที่เข้าใจได้อย่างดีที่ว่า
ยิ่งลงทุนเร็ว ยิ่งได้เปรียบในเรื่องประสบการณ์ความรู้
และระยะเวลาที่ใช้ลงทุนในชีวิต แม้จะไม่ได้เป็นเรื่องง่าย
แต่ก็เป็นประเด็นที่สามารถสร้างข้อแตกต่างระหว่างความยากจนและความมั่งคั่งในอนาคตได้
เพราะพลังการทบต้นของผลประโยชน์จากการลงทุนเป็นเรื่องอัศจรรย์
ดังนั้น อย่ารอช้าในการเริ่มต้นวางแผนออมและลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย
เพื่อการเกษียณอายุจะไม่สายเกินไปในชีวิตการทำงานของเรา
เริ่มต้นนิสัยของการลงทุนขั้นต่ำ 10% ถึง 15% ของรายได้ทุกเดือน ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นในชีวิตก็ตาม
6 : อยากเปลี่ยนผลลัพธ์ ต้องเปลี่ยนวิธีทำ
ทำสิ่งเดิม ผลลัพธ์ย่อมออกมาแบบเดิมตามที่เคยได้รับ เปรียบเช่นเดียวกับ
การทำพฤติกรรมทางการเงินผิดๆ เหมือนในอดีต ย่อมสร้างปัญหาการเงินอย่างที่เคยเป็นมาในอดีด
หากยังไม่หยุดคิดที่จะเริ่มปรับปรุงพฤติกรรมทางการเงินหรือสร้างความมั่งคั่ง
อาจจะต้องปรับทัศนคติใหม่อย่าง รุ น แ ร ง ต้องลองอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เช่นย้ายที่อยู่ใกล้ที่ทำงาน , ใช้รถคันเก่าแทนการเป็นหนี้รถคันใหม่ ,
การหางานใหม่ที่ให้เงินเดือนที่ดีกว่าเดิม , เริ่มต้นธุรกิจหารายได้เสริม เป็นต้น
คนประสบความสำเร็จทั่วไปไม่ได้ฉลาดหรือโชคดีกว่าคนอื่น
เพียงแต่พวกเขาเลือกใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และเห็นคุณค่าการดำเนินชีวิตกว่าคนทั่วไป
7 : pay yourself first
ควรสร้างระบบตัดเงินอัตโนมัติจากบัญชีเงินเดือนของคุณ ทันทีที่มีเงินเดือนเข้า
มันจะถูกตัดไปบัญชีเพื่อการลงทุน และบัญชีเงินออมก่อนเสมอ
เช่น กองทุนรวม , บัญชีเงินฝากประจำ เป็นต้น เลือกเงื่อนไขตามความมีระเบียบวินัยในตัวเอง
8 : การเงินเริ่มต้นที่ปัจจุบัน และส่งผลต่ออนาคต
เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ขอเปรียบเทียบดังนี้ ในโลกธุรกิจ จะมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นมาแล้ว
แต่ปัจจุบันก็ไม่ได้รับประโยชน์ ที่เรียกว่า ต้นทุนจม (sunk cost )
สมมติว่า บริษัทขุดเจาะน้ำมัน ใช้งบลงทุนมากมายในการขุดเจาะค้นหาน้ำมัน
ขุดไปลึกเท่าใดก็ยังไม่เจอน้ำมันสักที ประเด็นที่เกิดขึ้น คือ จะยังขุดต่อไป หรือ เปลี่ยนตำแหน่งขุดใหม่ดี ?
สะท้อนให้เห็นว่า การตัดสินใจปัจจุบันขึ้นอยู่กับว่า ทำอะไรแล้ว
จะเกิดสิ่งที่ดีที่สุดในอนาคต ไม่ได้ย่ำอยู่กับอดีตที่ผิดพลาดและ เ จ็ บ ป ว ด การเงินส่วนบุคคลก็เช่นกัน
เราทุกคนล้วนเคยมีต้นทุนจม ที่รอคอยความคาดหวังว่าจะได้ทุนกลับคืนมา
เช่น ลงทุนผิดจังหวะ , ใช้จ่ายซื้อของไร้ประโยชน์ เป็นต้น
การรอคอยบนพื้นฐานข้อผิดพลาดในอดีตไม่มีประโยชน์ต่อความสำเร็จใด ๆ
เก็บสิ่งผิดพลาดในอดีตเป็นบทเรียน แล้วตัดสินใจ เลือกทำสิ่งปัจจุบันที่ก่อประโยชน์ที่ดีที่สุดในอนาคตย่อมดีกว่า
ดังนั้น ควรต้องคิดเสมอว่า พฤติกรรมตัวเราในตอนนี้ สามารถนำพาเราเข้าใกล้เป้าหมายได้จริงไหม ?
ที่มา : w e a l t h i