
คนรวยเขามองเรื่องนี้ยังไงนะ?
คนรวยนี่ เขาขี้โกงแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่า?
คนรวยเขามองเห็นหัวคนจนอย่างพวกเรา บ้ า ง ไหมหนอ?
อาจเพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีโอกาสถามจากปากของเขาเหล่านั้นตรงๆ การได้เข้าใจความคิดของผู้มีฐานะทางสังคมเหล่านี้ เราจึงทำได้แค่ อ่ า น ตามหนังสือที่วางขายอยู่ ซึ่งครั้นจะไปไล่ อ่ า น ให้หมดทุกคน
มันก็ดูจะเสียเวลาไปซักหน่อย วันนี้ผมเลยขออาสากลั่นความคิดของคนรวย ด้านดีๆที่เราน่าจะสามารถเอาไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้นะครับ
1. เขารู้ว่าตัวเองถนัดอะไร
เพราะคนส่วนใหญ่ตามหาไปเท่าไหร่ ก็หาไม่เจอว่าชีวิตตัวเองต้องการอะไร ทำให้ไม่สามารถเลือกทางเดินชีวิตได้เอง ต่างจากนัก ล ง ทุ น ที่ผมดูแลเงินของเขา ซึ่งพบจุดร่วมที่สำคัญคือ
เขาเอาเงินมาให้เราดูแล ก็เพราะเขารู้ว่าเขาถนัดอะไร และเราถนัดอะไร เขาจะใช้เวลาให้มากกับสิ่งที่เขารักและถนัด ในขณะที่สิ่งที่เขาไม่ถนัด แต่คิดว่าจำเป็น เขาก็ให้คนที่ไว้ใจ เชื่อในความสามารถเป็นคนดูให้แทน
ปัญหาคือ กระบวนการค้นหาสิ่งที่ตัวเองถนัดของคนรวยแต่ละคนนั้น ค่อนข้างแตกต่างกันครับ ไม่มีกฎ ต า ย ตัว บางก็ก็จับพลัดจับพลูได้ทำธุรกิจที่ไม่เคยทำ แล้วกลับหลงรักมันขึ้นมา ในขณะที่บางคน
รักที่จะค้นหาสิ่งใหม่ๆทำไปเรื่อยๆ ถึงผิด บ้ า ง ขาดทุน บ้ า ง ก็ไม่ท้อแท้อะไร โดยคิดว่าประสบการณ์ที่ได้ไป ยังไงก็ไม่สูญเปล่า ซึ่งมันก็จริง ย้อนกลับมาดูตัวเราครับ ถ้าวันนี้เรายังไม่เจอสิ่งที่ตัวเองถนัด เราทำให้ตัวเองเข้าใกล้คำๆนี้มากขึ้นด้วยวิธีไหน? น่าคิดนะ
2. เขา อ่ า น เยอะมากกกกก
มนุษย์เงินเดือน อาจจะวัดความสำเร็จของตัวเองด้วยขนาดของทีวีที่ บ้ า น แต่สำหรับคนรวย ผมเห็น บ้ า น เขามีห้องหนังสือใหญ่ๆหนึ่งห้องเลย บางคนอาจบอกว่า จะมีเวลา อ่ า น ได้ยังไง
เวลาส่วนใหญ่ก็น่าจะยุ่งมากอยู่แล้ว แต่จากที่ได้พูดคุยได้สนทนากันทั้งในเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจ และการ ล ง ทุ น ต่างๆ รวมถึงความเป็นไปรอบตัว
ผมกลับพบว่า มันไม่ใช่การไปอัพเดทข่าว ส า ร แต่เป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างกันมากกว่า เลยทำให้ผมมั่นใจว่า เขาต้อง อ่ า น และหาทาง เ ส พ ข่าว
รวมถึงเติมความรู้ให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลาแน่นอน แล้วเราละ นอกจากเปิด อ่ า น ชีวิตและความเป็นไปของเพื่อนๆใน F a c e b o o k ติดตามข่าวดราม่าดาราแบบวินาทีต่อวินาที เราเพิ่มเติมความรู้ยังไงครับ?
3. เขาฟังเยอะ พูดน้อย
นอกจากเรื่อง อ่ า น เยอะแล้ว สิ่งที่ผมได้จากคนรวยอีกเรื่องก็คือ เกือบทุกคนเลือกที่จะฟังก่อนที่จะพูด สิ่งนี้เป็นเหตุเป็นผลนะครับ เมื่อฟังก่อน ก็จะได้ข้อมูลใหม่ๆ ได้ใช้ความคิดให้รอบคอบก่อนจะตัดสินใจอะไรไป มันอาจจะขัดกับสิ่งที่เด็กสมัยนี้คิด นั้นก็คือ ต้องกล้าแสดงออก ต้องกล้าแสดงความคิดเห็น
แต่กลายเป็นว่า คนรวยส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะไม่แสดงความคิดเห็นบ่อยนัก จริงๆ มันไม่ขัดกันนะครับ เพราะเขาอยู่ในระดับที่ต้องเก็บข้อมูลและตัดสินใจในสิ่งสำคัญๆ
แต่สำหรับเหล่าพนักงานนั้น การโยนความคิดเห็นเข้าไปกลางวงประชุม คือการแสดงความเห็นให้คนอื่นๆทราบ ทำให้เรามีตัวตนในองค์กร อย่าลืมนะครับ สมัยนี้ เก่งแล้วต้องให้คนอื่นรู้ เก่งเงียบๆ นายเค้าไม่เห็นหรอก
4. เขาลำบากมากกว่าที่เราเห็น และล้มเหลวมาเยอะกว่าที่เราคิด
ฉากหน้าของความสำเร็จมักจะดูดีเสมอ สิ่งที่ผมเห็นคือ บ้ า น หลังใหญ่ๆ รถสปอร์ต 5-6 คัน ไปเที่ยวต่างประเทศปีละ 3-4 ครั้ง สิ่งเหล่านั้นคือผลลัพธ์จากการทำงานอย่างหนัก
ผมไม่เคยเจอคนรวยที่ไม่ลำบาก และทุกๆคนล้วนเคยประหยัด ขยันขันแข็ง เก็บหอมรอมริบมาเรื่อยจนมีวันนี้ บางคนอดทนเป็นลูกจ้างไม่ต่ำกว่า 20-30 ปี กว่าจะมีเงินเก็บออกมาตั้งกิจการของตัวเอง คนเหล่านี้ ถึงเริ่มช้า แต่ทว่า ก็ด้วยความมั่นคง เพราะรู้ลึกรู้จริงในธุรกิจซึ่งตัวเองเคยเจอมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว
ในขณะที่บางคน ล้มเหลวมาแล้ว 3-4 ครั้ง ทั้งที่เพื่อนโกง โดนชักดาบ ขายของไม่ได้เพราะเศรษฐกิจพัง แต่เขาก็ยังลุกขึ้นมาหาอะไรทำ เพราะจำเป็นต้องเลี้ยงครอบครัว เรียกได้ว่า
เพราะหลังชนฝานั้นเองและที่เขาใช้เงินได้เยอะในวันนี้ มันก็เป็นเหตุผลครับ สมมติว่า เขามีเงินในกองทุนรวมตรา ส า ร หนี้ซัก 200 ล้านบาท ผลตอบแทนปีละ 3% ก็เท่ากับได้มาใช้ 6 ล้านบาท
หรือใช้ได้เดือนละ 5 แสน เงิน 5 แสนอาจจะดูมากสำหรับเรา แต่มันคือเงินน้อยสำหรับเขา เพราะใช้ไปยังไงเงินต้นเขาก็ยังไม่ได้ลดลง และยังคงทำงานอยู่ตลอดเวลา มีรายได้เข้ามาต่อเนื่อง (แต่กว่าจะได้ 200 ล้านเนี่ย ลาก เ ลื อ ด ครับ)
5. เขามีวิธีคิดที่เหมือนกันในการต่อต้านความจน ก็คือ การสร้างสินทรัพย์
เราถูกสอนว่าควรประหยัด เพราะเงิน 1 บาที่เราไม่ใช่ มันเท่ากับรายได้ 1 บาท ที่เราหาได้ แต่การประหยัดนั้น มันไม่ทำให้เราใช้ประโยชน์จาก อ า วุ ธ ที่มีอนุภาพมากที่สุดในโลก นั้นก็คือ “ดอกเบี้ยทบต้น”
เขาเหล่านี้รู้สูตรลับความสำเร็จจะด้วยความบังเอิญ หรือรุ้จริงๆตั้งแต่วันที่ตั้งใจก็ตาม แต่เขาจะพยายามอดออม และแบ่งเงินเหล่านั้นออกมา ล ง ทุ น ไม่ว่าจะเป็นการ ล ง ทุ น ในกิจการที่ตนเชื่อว่าจะไปได้ดี หรือไป ล ง ทุ น ในที่ๆคิดว่าให้ผลตอบแทนสูง (เลยเป็นที่มาที่เขาเดินเข้ามาหาที่ปรึกษาการ ล ง ทุ น )
เหตุผลนี้ มันเลยชัดเจนครับว่า เศรษฐกิจไทยอาจจะชะลอตัวใน 1-2 ปีข้างหน้า เพราะเศรษฐีทั้งหลายมองไม่เห็นช่องทางการ ล ง ทุ น ในธุรกิจและหันเอาเงินมาให้เหล่านักการเงินทั้งหลายบริหาร จัดพอร์ตไป ล ง ทุ น ในที่ต่างๆในระยะหลัง
แต่ไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหน หรือในอนาคตเขาจะเอาเงินกลับไป ล ง ทุ น วัตถุประสงค์ของเขาก็คือ การสร้างสินทรัพย์เพื่อต่อยอดเงินให้กับลูกหลานต่อไปในอนาคต
คนเรามีทั้งด้านดีและไม่ดี ด้านที่ดีของเขา เราก็ปรับเอามาใช้กับตัวเองนะครับ ความสำเร็จมันไม่มีรูปแบบ ต า ย ตัว ลอกเลียนแบบกันไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็พอมีลาย แ ท ง ให้เดินตาม
ผมเชื่อว่า เมื่อเราพยายามสู้กับทุกปัญหา มองโลกในแง่ดี และหาโอกาสในรอบๆตัวให้เจอ ไม่ต้องรวยมากหรอกครับ ความสุขมันก็โชยขึ้นมาเบาๆแล้ว
ที่มา : s a n o o k