Home ข้อคิดสอนใจ คนทำงานเป็น เขาคิดกันแบบนี้

คนทำงานเป็น เขาคิดกันแบบนี้

4 second read
0
0
68

1. เงินเดือนได้เท่าไหร่ไม่สำคัญเท่ากับ “จ่ายไปเท่าไหร่”

เงินเดือนหลักแสนหลักหมื่นก็มีสิทธิจนได้ในพริบตา หากยังไม่รู้จักประมาณตน

ไม่ลำดับความสำคัญของค่าใช้จ่ายว่า “ควรหรือไม่ควรจ่ายในเรื่องอะไร”

การบริหารรายรับรายจ่ายเท่านั้นที่จะบ่งบอกได้ว่าคนนั้นรวยจริงรึเปล่า

(มีเงินเก็บรึเปล่า?) ไม่ใช่ดูกันเพียงสเตทเม้นท์แต่เพียงผิวเผิน

2. คุณไม่ได้ทำงานเพื่อเงินแต่เพียงอย่างเดียว

เงินเป็นเพียงปัจจัยหลักที่สามารถ ซื้ อ “หลายสิ่ง” ได้ แต่สำหรับมิตรภาพ, ความเก่งกาจ,

ความฉลาด ฯลฯ อะไรก็ตามที่เป็นนามธรรม ที่คุณได้รับจากองค์กรไปตั้งแต่วันแรก

และความรู้สึกในชีวิตส่วนตัวมัน ซื้ อ ไม่ได้หรอก ถ้าคุณคิดว่าการทำงานมีเป้าหมายก็เพื่อเงิน

คิดแต่ว่าทำยังไงก็ได้เพื่อให้ได้เงินเยอะ ๆ

เช่น พ ย า ย า ม ทำโอทีมาก ๆ หรือไม่ก็เช้าชามเย็นชาม ทำงานไปงั้น ๆ

เพราะรู้ว่าเดี๋ยวเงินเดือนก็ออกเอง มันก็ไม่แปลกที่คุณจะรู้สึกว่าฝืน ไม่มีความสุข ไม่มีความก้าวหน้า

ก็ในเมื่อคุณเลือกเองที่จะมีเป้าหมายของการทำงานไม่กี่อย่าง คิดดูให้ดี

นอกจากเงินเดือน คุณได้อะไร หวังอะไรจากที่ทำงานไป บ้ า ง? มิตรภาพ?

ความก้าวหน้า? ทักษะความสามารถ? ความสนุก? สังคม?

ยิ่งคิดให้กว้างเท่าไหร่ คุณจะยิ่งหายใจได้สะดวกขึ้น โล่งขึ้น

รู้สึกได้ว่า “การมาทำงานไม่ใช่เรื่องที่ต้องฝืนทน” มันต้องมีอะไรมากกว่าเงินสิ !

3. ควรใช้เงินเพื่อความสุขของปัจจุบันและอนาคต

หักลบกลบหนี้รายเดือนแล้ว คุณควรให้รางวัลตัวเองเป็นอะไรก็ได้

เช่น ตั๋วหนัง, หนังสือ, ทริปต่างจังหวัด, การเข้าสังคม เพื่อผ่อนคลายและพัฒนาตัวเองไปพร้อม ๆ กัน

อย่ากักขังตัวเองเพียงแค่การทำงานมาหักลบค่าใช้จ่ายรายเดือนเพียงอย่างเดียว

ไม่อย่างนั้นคุณจะรู้สึกว่างานที่ทำอยู่มันกดดันสูง

ไม่มีความสุข ท ร ม า น เพราะไม่รู้ว่าจะออกไปเลยดีมั้ย แต่กระนั้นก็ตาม

อย่าลืมเจียดบางส่วนไว้เป็น “เงินออม” หรือ “เงินสำหรับอนาคต”

เพื่อไม่ให้ตัวเปล่าเล่าเปลือยเกินไป หากเกิดอะไร ฉุ ก เ ฉิ น ขึ้นในวันข้างหน้า

คุณจะได้ไม่ กิ น เ นื้ อ ตัวเองมาก อุ่นใจกับความเป็นอยู่ในปัจจุบันได้ดี

4. นอกจากเรื่องงาน เราไม่จำเป็นต้องแข่งเรื่องอื่นกับเพื่อนร่วมงาน

รสนิยมเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ และไม่มีใครบอกด้วยว่าแบบไหนผิด

แบบไหนถูก เพราะความชอบของคนเราไม่เหมือนกัน

อย่าตกกับดักสังคมด้วยวิธี “เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง”

คนอื่นอัพเกรดตัวเองยังไงก็ช่าง กินหรูจ่ายแพงยังไงก็เรื่องของเขา

เราจงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่เป็นอันพอแล้ว

5. อย่าเพิ่งเปลี่ยนเส้นทาง หากว่ายังไม่เต็มที่ในทางที่กำลังเดินอยู่

ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้รู้สึก อ ย า ก ลาออกหรือเปลี่ยนสายงาน

ลองทบทวนตัวเองอีกครั้งว่าที่ผ่านมาได้ทำอะไรอย่างเต็มความสามารถแล้วหรือยัง

หรือที่จะลาออกนั้นเป็นเพียงเพราะอารมณ์ ชั่ ว วู บ เพียงเท่านั้น?

ถ้ายัง ลองเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ตั้งใจลุยอีกสักตั้ง

อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าออกไปทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า

“รู้งี้ ฉัน… ดีกว่า” ซึ่งมันน่าเสียดาย น่า เ จ็ บ ใ จ กว่าเยอะนะ

6. รู้จักเป็นคนยืดหยุ่น บ้ า ง

ไม่มีอะไรมั่นคงแน่นอนดั่งใจหวังเสมอไป ใครจะไปรู้ว่างานที่ทำอยู่อาจจะโดนตำหนิ มีเพื่อนร่วมงานไม่ชอบใจ

หรือ ร้ า ย แ ร ง ถึงขั้นต้องถูกเชิญให้ออก ดังนั้น นอกจากคิดในแง่บวก

คุณต้องคิดแต่ละเรื่องให้รอบด้านมาก ๆ เพื่อที่เกิดปัญหาขึ้นมาจริง ๆ คุณจะได้ เ ค รี ย ด น้อยลง มีสติมากขึ้น

“ก็มันเกิดขึ้นแล้วไงล่ะ? ฉันจัดการได้!” คาดหวังให้น้อย เปรียบเทียบให้น้อย

วางแผนให้เป็น ความสุขเราจะอยู่ในระดับที่ไม่ไกลเกินเอื้อมและไม่สั้นเกินไป

ชีวิตง่าย ๆ ชิล ๆ สโลว์ไลฟ์ ใครว่าเป็นเฉพาะเจ้าของกิจการหรือฟรีแลนซ์ล่ะ? มนุษย์เงินเดือนก็เป็นได้

7. อย่าเอาชีวิตตัวเองไปเปรียบเทียบกับเพื่อนสายงานอื่น

ทุกสายงานล้วนแต่มีความ ย า ก ง่ายปะปนกันไปเท่า ๆ กัน หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ

“มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย” เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเจ้าของกิจการ, อาชีพอิสระ, มนุษย์เงินเดือน

ไม่มีใครได้เปรียบกว่าใคร ไม่มีใครเหนือกว่าใคร สิ่งที่เราควรทำเมื่อต้องพบปะกับเพื่อนต่างสายงานก็คือ

ยินดีเมื่อเขาประสบความสำเร็จ คอยช่วยเหลือกันเมื่อใครก็ตามเดือดร้อน

เพราะความเป็นมิตร มันยั่งยืนและสวยงามกว่าการตั้งป้อมเป็นคู่แข่งกันเสมอ

ที่มา : j e e b . m e

Load More Related Articles
Load More By adminjing
Load More In ข้อคิดสอนใจ

Check Also

8 วิธีทำให้คนนับถือคุณ หลักๆ อยู่ที่การวางตัว

ไม่ใช่แค่กลุ่มคนทำงาน แต่พวกเราทุกคนต่างต้องอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทุ…