![](https://jingjai999.com/wp-content/uploads/2023/05/3-4-850x491.jpg)
1. คำสั่งห้ามต่างๆ เช่น “ไม่ อย่า หยุด”
การพูดห้ามเด็กบ่อยๆ จะทำให้เด็กขาดความมั่นใจที่จะทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง เพราะกลัวที่จะทำผิดหรือทำแล้วไม่ถูกใจผู้อื่นทำให้เด็กไม่กล้าคิดและไม่กล้าทดลองทำสิ่งใหม่ๆ
ซึ่งอาจจะทำให้เขาเสียโอกาสที่จะเรียนรู้ว่าตัวเองมีความสามารถด้านไหนชอบหรือไม่ชอบทำอะไร และทำอะไรได้ดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะพูด 3 คำนี้ไม่ได้เลย คงต้องขึ้นอยู่กับ
สถานการณ์ด้วยเพราะถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ อั น ต ร า ย หรือไม่เหมาะสมก็สามารถพูดได้ที่สำคัญก็คือ ควรมีการอธิบายให้เด็กเข้าใจถึงเหตุผลว่าสิ่งนี้ทำไม่ได้เพราะอะไรหรือถ้า
เป็นสถานการณ์ปกติทั่วไป คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถเปลี่ยนคำพูดจากการห้ามเป็นการบอกสิ่งที่เด็กควรทำให้ชัดเจนเช่น “เดินจับมือแม่ไปด้วยกันนะคะ หนูจะได้ไม่หลง” แทนคำว่า
“อย่าวิ่งไปไหนนะ” หรือ “เก็บของใส่กล่องเบาๆ นะคะ” แทนคำว่า “อย่าโยนของแรงๆ สิ” เป็นต้น
2. คำพูดขู่ เช่น “เดี๋ยวจะเอาไปทิ้ง” “เดี๋ยวไม่รักนะ” “อย่าทำแบบนี้เดี๋ยวตำรวจมาจับหรือผีมาหลอก”
การขู่ที่มีเงื่อนไขของการไม่ได้รับความรักหรือการถูกทิ้ง จะทำให้เด็กไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นที่รักของครอบครัวหรือไม่และทำให้เด็กเกิดความ ห ว าด ร ะ แ ว ง
กลายเป็นคนขี้กลัว นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างความเข้าใจผิดให้กับเด็กอีกด้วยว่าการได้มาซึ่งความรักจะต้องมีเงื่อนไขเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียความนับถือ
ในตัวเองและผู้อื่นได้การพูดขู่เด็กโดยไม่มีเหตุผลจะทำให้เด็กรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งต่างๆ รอบตัว และทำให้เด็กไม่สามารถใช้ความคิดและเหตุผลในการไตร่ตรองสิ่งต่าง ๆ
ได้อย่างถูกต้องทำให้เกิดความเปราะบางทางด้านจิตใจ และเมื่อเด็กเผชิญปัญหา เด็กก็จะกลัวและไม่สามารถหาทางแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเองดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรพูดกับลูก
ด้วยเหตุผลที่สมจริง หรือสอนในสิ่งที่เขาทำได้และควรทำ ที่สำคัญ ควรชื่นชมและแสดงความภาคภูมิใจ เมื่อลูกๆ สามารถปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง
3. พูดเปรียบเทียบหรือประชดประชัน เช่น “ไม่เห็นน่ารักเหมือนน้องคนนั้นเลย” “ดูสิ ลูกคนอื่นเขายังทำได้เลย”
การที่คุณพ่อคุณแม่ใช้คำพูดในลักษณะนี้ เพราะอยากผลักดันให้ลูกเกิดความ พ ย า ย า ม ในการทำสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้นหรือเพื่อให้ลูกพัฒนาตัวเองมากขึ้น แต่รู้มั้ยว่าคำพูดเหล่านี้
กลับกลายเป็นการทำ ร้ า ย จิตใจและทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าไม่มีความสามารถ ไม่เก่งหรือไม่ดีพอเท่ากับเด็กคนอื่น กลายเป็นเด็กที่ไม่กล้าแสดงออก ขาดความมั่นใจ
และอาจทำให้เด็กมีนิสัยขี้อิจฉาสร้างความ เ ก ลี ย ด ชั ง ให้กับคนที่เด็กโดนเอาไปเปรียบเทียบโดยไม่รู้ตัว ทำให้เด็กลุกขึ้นมาต่อต้าน บางคนก็อาจแสดงออกด้วยความก้าวร้าว
รุ น แ ร ง และ พ ย า ย า ม ทำตัวเองใbห้อยู่ด้านตรงกันข้ามกับที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรทำความเข้าใจก่อนว่าลูกมีข้อดีอย่างไรหรือมีความชอบ
ความถนัดด้านไหน จากนั้นก็ พ ย า ย า ม ส่งเสริม สนับสนุนในสิ่งที่เขาทำ และควรแสดงความชื่นชมเพื่อให้เขาเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองและพัฒนาศักยภาพของ
ตัวเองไปในทางที่ถูกต้อง คุณพ่อคุณอาจจะเล่าว่าเด็กคนอื่นหรือญาติพี่น้องในวัยเดียวกันมีความสามารถหรือมีข้อดีอย่างไรในขณะเดียวกันก็ต้องบอกให้ลูกมั่นใจว่าตัวเอง
ก็มีส่วนที่ดีหรือส่วนที่สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้เช่นกัน เพื่อให้เด็กมีความมั่นใจและเชื่อว่าคนทุกคนสามารถพัฒนาได้ ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องเก่งเหมือนใคร แต่เราสามารถ
เก่งในแบบของเราได้
4. พูดเชิงบังคับ เคี่ยวเข็ญ เช่น “ทำไมไม่รับผิดชอบอะไรเลย” “ต้อง พ ย า ย า ม ให้มากกว่านี้สิ” “เทอมนี้เกรดต้องดีกว่านี้นะ”
การใช้คำพูดเชิงบังคับ เคี่ยวเข็ญ ส่งผลคล้ายกับการพูดเปรียบเทียบ นั่นคือ ทำให้เด็กรู้สึกไม่มีคุณค่า ไม่กล้าแสดงออกทำให้เด็กรู้สึก เ ค รี ย ด และกดดันตัวเองจนทำให้
กลายเป็นคนมองโลกในแง่ ร้ า ย ไม่ไว้ใจผู้อื่น หรือมุ่งสู่ความสำเร็จเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจคนรอบข้างและยังทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่ราบรื่น เพราะเด็กอาจ
แสดงความก้าวร้าว รุ น แ ร ง ต่อต้านผู้ปกครองและ พ ย า ย า ม ทำตัวเองให้อยู่ด้านตรงข้ามกับคุณพ่อคุณแม่แนะนำว่าลองเปลี่ยนจากการบังคับมาเป็นให้กำลังใจลูกแทน
จะดีกว่าเพราะการให้กำลังใจเป็นการแสดงออกถึงความรักและความห่วงใย เด็กเองก็จะรับรู้ได้ถึงความหวังดีที่พ่อแม่มีให้ซึ่งจะช่วยให้เด็กมีความมุ่งมั่นและมั่นใจที่จะ
ทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น และยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้ดีขึ้นด้วย
5. ตวาดหรือพูดด้วยอารมณ์ เมื่อโมโห หรือขาดสติ
การพูดโดยใช้อารมณ์เวลาที่โมโหหรือขาดสติ อาจทำให้เด็กจดจำและนำไปลอกเลียนแบบได้เพราะเด็กจะซึมซับและคิดว่าการพูดไม่ดีเป็นสิ่งที่ทำได้ ดังนั้น เวลาที่คุณพ่อ
คุณแม่โมโห หรืออารมณ์ไม่ดี (ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้)ให้ลองหลับตา หายใจเข้าลึกๆ หายใจออก ย า ว ๆ
พ ย า ย า ม ทำจิตใจให้สงบและตั้งสติก่อนแล้วค่อยพูดกับลูก
พ ย า ย า ม พูดคุยหรืออธิบายด้วยเหตุผลหากเป็นเรื่องที่ต้องการให้เด็กเข้าใจ แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆก็เอาตัวเองออกไปจากสถานการณ์ตรงนั้นก่อน ค่อยๆ ใช้เวลาปรับอารมณ์
เมื่อคิดว่าตัวเองพร้อมก็ค่อยกลับมาพูดกับลูก
6. สั่งลูกไม่ให้ร้องไห้
การสั่งห้ามไม่ให้เด็กร้องไห้ โดยเฉพาะเมื่อผู้ปกครองกำลังมีอารมณ์ด้วยแล้ว จะทำให้เด็กรู้สึกกลัวมากขึ้นและไม่สามารถหยุดร้อง หรือจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ เพราะรู้สึกว่า
คุณพ่อคุณแม่ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังเป็นทุกข์อยู่สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรจะทำคือปล่อยให้เด็กร้องไห้เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจก่อน และค่อยๆ บอกลูกให้เข้าใจว่า เวลา
ที่เราเสียใจเราสามารถแสดงออกได้ ซึ่งการร้องไห้ก็ถือเป็นการแสดงออกรูปแบบหนึ่ง ถ้าลูกหยุดร้องและสงบแล้วเราค่อยมาคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อให้เด็กรู้ว่าคุณ
พ่อคุณแม่เป็นห่วง และกำลังช่วยให้เขาเข้าใจและหาวิธีจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง
7. ใช้คำพูดล้อเลียน หรือเลียนแบบคำที่เด็กพูดไม่ชัด
บางครั้งผู้ใหญ่ก็ไม่ได้คิดว่าคำบางคำเป็นการล้อเลียนเด็ก เพราะคิดว่าพูดกันเล่นๆ สนุกๆ และมองว่าเด็กยังเล็กคงไม่เข้าใจอะไรมาก แต่เมื่อเด็กโตขึ้น มีสังคมที่กว้างขึ้น
คำพูดเหล่านั้นจะทำให้เด็กรู้สึกอาย ไม่มั่นใจในตัวเองเพราะหวาดกลัวที่จะโดนล้อเลียนจากครอบครัวและผู้อื่น ทำให้เด็กไม่ชอบในสิ่งที่ตัวเองเป็นจนอาจกลายเป็นปมในใจ
ของเด็กได้คุณพ่อคุณแม่จึงควร พ ย า ย า ม พูดให้เด็กเห็นข้อดีของตัวเองภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองมีหรือเป็น ชี้ให้เห็นว่าแต่ละคนมีความแตกต่างกัน และไม่จำเป็นต้องยึดติดกับ
รูปลักษณ์ภายนอกเสมอไป
8. พูดเข้าข้างเมื่อลูกทำผิด เช่น “ลูกฉันไม่ผิด” “ไหนใครว่าลูกฉัน”
การพูดเช่นนี้เป็นการสร้างนิสัยเอาแต่ใจและไม่ยอมคนให้กับเด็ก เป็นการตามใจลูกในทางที่ผิด (หรือที่เรียกว่าพ่อแม่รังแกฉัน)เพราะทำให้เด็กไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบ ชั่ ว ดี
และเมื่อโตขึ้น เด็กก็จะรับไม่ได้เมื่อถูกต่อว่าหรือตำหนิดังนั้น ถ้าพบว่าลูกทำผิดจริงอันดับแรกเลยคุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้เด็กรู้จักขอโทษและยอมรับผิด (ห้ามออกรับแทนลูกเด็ดขาด)
และชี้ให้เห็นว่าอะไรถูกหรือผิดอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ เพราะอะไร และถ้าทำผิดแล้ว จะมีผลอย่างไรตามมา เพื่อให้เด็กเข้าใจและปรับปรุงตัวเอง
…นอกจากจะสอนด้วยคำพูดแล้ว คุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกๆ ด้วย เพราะบางอย่างก็ได้ผลมากกว่าการใช้คำพูดเพียงอย่างเดียว เช่น ถ้าเราไม่
อยากให้เขาเล่นโทรศัพท์ตัวเราเองก็ต้อง พ ย า ย า ม อยู่ให้ห่างจากโทรศัพท์ หรือถ้าไม่อยากให้ลูกพูดจา
ห ย า บ ค า ย ตัวเราเองและคนใกล้ชิดก็ต้องไม่พูดเช่นกันที่สำคัญ
ตั้งสติทุกครั้งก่อนที่จะพูดอะไรกับลูก เพราะทุกคำพูดของพ่อแม่มีผลกับจิตใจของลูก
ขอขอบคุณ forlifeth