![](https://jingjai999.com/wp-content/uploads/2023/06/1-5-850x491.jpg)
ยุคข้าวยากหมากแพง บ้านเมืองไม่สงบ ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความรู้สึกค่านิยมของคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่อง “เงิน” เป็นหลัก
ในสังคมทุนนิยมแบบนี้ ย า ม ไม่มีเงินก็คงลำบาก เมื่อเงินมีใช้ไม่พอต้องหยิบยืมจนเป็น “หนี้” คืออุปสรรคในชีวิตของคนส่วนใหญ่ เวลาที่คนเราเป็นหนี้ เชื่อว่าจำนวนไม่น้อย
ไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นหนี้เฉพาะตัวหรือด้านเงินทอง แต่ “ใจ” ก็เป็นหนี้ไปด้วย “ใจเป็นหนี้” ในความหมายของตน การที่เอาอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปผูกกับการอยู่ในสถานะ
การเป็นลูกหนี้ เป็นสิ่งทำให้เหมือนไม่มีอิสระในชีวิต ใครสักคนมีอำนาจในการจัดการเราได้ เพราะไปเอาของของเขามา จึงไม่มีความเป็นตัวของตัวเองมากนัก
หลายคนพาลนอนก่ายหน้าผาก คิดมาก จนเป็นคนวิตกกังวล หรือ โ ร ค ซึ ม เ ศ ร้ า ถามหาความกังวลของคนที่มีหนี้ให้ “เงิน” เป็นตัวกำหนดความสุขทุกข์ตามมานั้น
ก็ บั่ น ท อ น ความสุขของเรา ทั้งที่…”หนี้” เรื่องไม่ใหญ่อย่างที่ใจคิดมีคนถามว่า การเป็นหนี้ มีเรื่อง จิ ต วิ ท ย า เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ …ผมคิดว่ามี เพราะหนีความกังวล
ในความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้อื่นและความรู้สึกไม่ได้ ใครเจอสถานการณ์แบบนี้ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่เห็นว่าจะต้อง
เ ค รี ย ด ให้เหนื่อยใจเปล่าๆมีความกังวลอยู่บ้าง
กับการรับผิดชอบให้บอกตัวเองเสมอว่าจะต้องค่อยๆ ทำงานหาเงินชดใช้หนี้ไปตามกาลเวลาที่กำหนดไว้ ป่ ว ย การที่จะไปทุกข์ใจกับเรื่องการเป็นหนี้ เพราะทุกข์ไป
เงินก็ไม่งอกเงยขึ้นมาให้ฟรีๆ อาจยิ่งทำให้หมดแรงในการหาเงินมาใช้หนี้เสียอีก ยิ่ ง แ ย่ เข้าไปใหญ่อีกประเภท พวกทองไม่รู้ร้อน อยากได้ของเขา พอได้มาก็ไม่คิดว่า
จะต้องรับผิดชอบอะไร คิดเข้าข้างตัวเองว่าเงินทองแบ่งกันใช้ แม้ตนเองไม่ได้หามา เลยไม่รู้สึกต้องจ่ายคืนขอหยิบยืม แต่ไม่คืน คนจำพวกนี้น่ากลัว และถือว่าเป็นคนไม่ดี
คำแนะนำนี้อาจใช้ได้สำหรับหลายคน แต่มีอีกหลายคนไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือไม่ ถ้ามุ่งประเด็นที่ “ใจ” ของเรา อยู่อย่างใจสงบ อิสระจากการถูกมัดจากเรื่องภายนอก
คิดว่าทุกอย่างที่เป็นเงื่อนไขที่เกิดขึ้น ควรปฏิบัติดังนี้
1. มองโลกในแง่ดีให้มาก คิดว่าการที่ติดหนี้สิน เพื่อการพัฒนา พิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการเงิน แต่ก็ห้ามคิดว่าพัฒนามากเกินไปจนกลายเป็นฟุ้งเฟ้อ
ไม่รู้จักพอ ที่ แ ย่ คือคิดเอาเงินในอนาคตมาใช้ โดยไม่รู้จักบริหารจัดการให้ดี อย่างนี้ก็เป็นหนี้หัวโต
2. อย่าเป็นคนรักษาหน้ามาก บางคนมองการเป็นหนี้คนอื่น เป็นการบอกว่าเราด้อย ไม่มีเงิน ไม่มีทรัพย์สมบัติ ทนไม่ได้ที่ต้องเป็นหนี้ ก็เลยไม่กล้า ล ง ทุ น ทำอะไร หรือ
ยอมไปหาเงินมาจากที่อื่นๆ ที่ไม่เหมาะสมแทน เช่น เล่น ก า ร พ นั น เ สี่ ย ง โ ช ค ยอมขายตัวขายศักดิ์ศรีแลกเงิน แ ย่ กว่าการเป็นหนี้สถาบันการเงินเสียอีก
3. มองว่าการมีหนี้ก็เพื่อการฝึกควบคุมตนเองและฝึกการบริหารจัดการเรื่องเงินเรื่องทองให้ได้ ถ้าทำได้ ฝ่ า ฟั น ได้จะเป็นผู้มีประสบการณ์แกร่งขึ้น
4. บอกตัวเองเสมอว่าคนที่ เ ค รี ย ด ควรเป็นเจ้าหนี้ อย่ามองเพียงแค่ว่าเจ้าหนี้มีความสุขจากการได้ ด อ ก เ บี้ ย เงินกู้อย่างเดียว มีเจ้าหนี้จำนวนมากก็ขาดทุนไปไม่น้อย
ซึ่งควรจะช่วยกันทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ เพื่อให้เกิดความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย อย่าเอาเปรียบกันดีที่สุด
5. เผื่อใจสำหรับการใช้หนี้ไม่ได้ อาจต้องยอมขายหรือเสียอะไรบางอย่างบ้าง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการหนี้ได้ อย่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบยึดติดกับวัตถุมากเกินไป
เงินทองของนอกกายไม่ ต า ย ก็หาใหม่ได้ อย่าไปปักใจอยู่กับคุณค่าของวัตถุมากเกินไป เพราะคุณค่าที่เกิดขึ้นเกิดจากใจของเราต่างหากที่ไปสร้างเงื่อนไขทางความคิดตัวเอง
6. ผู้ไม่มีทรัพย์สินอะไรให้ขายชดใช้หนี้ อย่าลืม “ทรัพย์สินทางปัญญา” ต้อง พ ย า ย า ม หาออกมาใช้ให้มากที่สุดเชื่อว่าไม่มีทรัพย์ใดจะมีค่ามากไปกว่าปัญญาของเราเอง
7. คิดหาทางเลือกอื่นๆ ไว้เมื่อหนี้มีปัญหา อย่า คิ ด สั้ น ๆ อย่าลืมว่าปัญหามักจะมีทางออกสำหรับผู้ที่ฝึกคิดเสมอ
8. การเป็นหนี้ในแง่ดีคือว่าคุณยังเป็นคนที่มีเครดิตอยู่ อย่างไรก็ตาม ถ้าขอใครแล้วเขาไม่ให้ยืมก็กลับมาทบทวนบอกตัวเองว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” อย่าไปหวังใคร
จะมาช่วยเรา ถ้าเรายังไม่เริ่มต้นคิดช่วยเหลือตนเอง
9. ฝึกตนเองมุ่งมั่นในการทำงานไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดเรื่องการเป็นหนี้อยู่ใน ส ม อ ง ให้มากนัก มีความรับผิดชอบต่อชีวิตและหนี้สิน เมื่อนั้นจะรู้สึกมีความสุขมาก และ
จะภูมิใจที่เราเป็นคนที่มีความรับผิดชอบที่ดี ให้ชมตัวเองบ่อยๆได้
10. ถ้าโดนเจ้าหนี้ทวงอยู่เรื่อยๆ ใช้วิชาการเจรจาต่อรอง แสดงความจริงใจว่าจะผ่อนส่งให้ ถ้าเขาอยากได้มากกว่าที่เราสามารถให้ได้ ก็ตอบไปตรงๆ ว่าไม่สามารถ
ทำได้ในเวลานั้น (แต่จะ พ ย า ย า ม หามาให้) เพราะเขาเองก็กลัวจะไม่ได้เหมือนกัน ฉะนั้น หาข้อตกลงรอมชอมดีที่สุด อย่า เ ค รี ย ด ไปก่อนเพราะกลัวว่าจะทนต่อการ
ถูกทวงไม่ไหว อย่าลืมว่าเจ้าหนี้บางรายเป็นพวกจู้จี้จุกจิก ย้ำคิดย้ำทำ ซึ่งควรเห็นใจเขา เพราะเงินของใคร ก็หวงห่วงเป็นธรรมดา
11. คนที่ค่อนข้าง เ ค รี ย ด คิดมากเรื่องการเป็นหนี้ ให้สำรวจตนเองว่าเป็นคนวิตกกังวลเกินไปหรือไม่ ส่งผลต่อชีวิตอย่างไร เช่น ทำให้ขยันขึ้น ทำให้หมดเรี่ยวแรง
ในการต่อสู้กับปัญหากันไหม ถ้าเป็นประเด็นหลังอาจต้องรับการบำบัดรักษาทางด้าน สุ ข ภ า พ จิ ต จะดีกว่า หากปล่อยไว้ ชีวิตจะค่อยๆ หมด พ ลั ง ในการดำเนินชีวิตในที่สุด
“ผมคิดว่าไม่จำเป็นอย่ามีหนี้ดีที่สุด หากต้องมีขอให้มีหนี้สินเพื่อเป็นทรัพย์สินที่มั่นคงในอนาคตมากกว่าหนี้สูญ เช่น หนี้จากการฟุ่มเฟือยใช้จ่ายในสิ่งที่ ไ ร้ ส า ร ะ
หาความสุขที่มากเกินพอดี การเล่น ก า ร พ นั น ติ ด ย า เ ส พ ติ ด เป็นต้น ดูๆ ไปก็น่าเหนื่อยใจไม่น้อย ขอเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังมีหนี้อยู่ด้วย ว่าความ พ ย า ย า ม อดทน
อยู่ที่ไหนหนี้ทางใจก็จะไม่อยู่ที่นั่นอีกต่อไป”แต่ถ้าไม่สามารถจัดการได้ คุณอาจจะ “ป่ ว ย” เพราะหนี้ได้เช่นกัน
ที่มา : Matichon Online