
ใคร ๆ ก็ฝันอย ากจะมีเงินล้านกันทั้งนั้น ต่อให้จะเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดา ๆ อย่างเรา ๆ ก็เถอะ แต่หลายคนก็มีคำถามว่า ฝันนี้มันใหญ่หรือว่าไกลเกินตัวไปไหม จะบอกว่าจริง ๆ แล้วไม่เลย เพราะเรามีตัวอย่างให้เห็นมากมาย
บางคนเริ่มจากศูนย์ ก็ประสบความสำเร็จมีเงินเก็บเป็นล้านก็ถมเถ บางคนเป็นเด็กวัด แต่ทุกวันนี้ทุนทรัพย์หลักหลายร้อยล้าน บางคนบ้ านล้มละลาย สุดท้ายกลายเป็นเถ้าแก่น้อย แล้วแบบนี้มันจะไกลเกินฝันสำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเราไปได้อย่างไร งั้นเรามาเริ่มออมเงินให้ถึงล้านกันเลยค่ะ
1. เก็บก่อนใช้ ไม่ใช่ใช้ก่อนเก็บ
“ไม่รู้เงินไปไหนหมด” เราเชื่อว่าทุกคนคงเคยพูดประโยคนี้ด้วยกันทั้งนั้น เพราะหลังจากเงินเดือนเข้าบัญชี ไม่กี่วันมันก็กลับหนีจากเราไปเอาเสียดื้อ ๆ นั้นเพราะอะไร ก็เพราะพอคุณรู้สึกว่าคุณมีเงิน คุณก็จะใช้มันอย่างไม่ลืมหูลืมตา
คุณจะออกไปกินอ า ห า รมื้อแพง ๆ ที่คุณนัดเพื่อนไว้ตั้งแต่กลางเดือนที่แล้ว คุณจะไปซื้ อของชิ้นที่คุณอย ากได้ หลังจากที่เล็งมานาน คุณจะนัดเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันแสนนานมาปาร์ตี้ เพราะคุณรู้สึกว่าคุณมีเงินเต็มกระเป๋า คุณจะซื้ อของจุกจิก เพราะคุณคิดว่ามันแค่ไม่กี่บาท คราวนี้รู้หรือยังละว่า “เงินไปไหนหมด”
งั้นเราลองมา “เปลี่ยน” จากนี้ไป เมื่อถึงวันที่เงินเดือนพุ่งเข้าบัญชี เราอย ากให้คุณลอง เกิดความรู้สึกนี้เป็นอย่างแรก “หวง” หวงกลัวว่าเงินจะหาย ฉะนั้นแบ่งออกมาเลยสัก 30% ของเงินเดือน ถ้าคุณไหว แต่ถ้าอย ากมีเงินล้านไว ๆ
เราขอแนะนำให้คุณไหว จากนั้น เอา 30% ที่ว่า ไปเก็บเข้าแบงค์ไว้ซะ แนะนำว่าแบงค์นี้คุณไม่ควรทำ ATM เอาไว้ นี่คือกลยุทธ์เพิ่มความย ากลำบากในการถอนมันออกมา กลั้นใจทำแบบนี้สัก 6 เดือน พอคุณเห็นเงินก้อน เราเชื่อว่าคุณจะไม่รู้สึกลำบากในการแบ่งมันออกมาเก็บ เชื่อสิ
2. รู้จักวิธีสร้างฐานการเงินให้กับตัวเอง
นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์เงินเดือนหลายคนมองข้าม และเรื่องนี้แหละ ที่มันทำให้เกิดคำว่า “ไม่มีงานก็ไม่มีเงิน” มนุษย์เงินเดือนจึงกลัวการไม่มีงานทำ เพราะเมื่อไหร่ที่คุณหยุดทำงาน
คุณก็จะกลายเป็นคนไม่มีรายได้ในทันที งั้นลอง “เปลี่ยน” เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนคุณภาพ ฉันเป็นมนุษย์เงินเดือนก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่า ฉันต้องทำงานหาเงินไปจนต า ย
มนุษย์เงินเดือนที่ฉลาดและอย ากมีเงินล้าน ต้องรู้จักวิธีสร้างฐานการเงินให้กับตัวเอง หลังจากที่คุณ แบ่ง 30% ไปเก็บ ในธนาคารเรียบร้อย เราแนะนำให้คุณ เอาอีก 10% หรือ ถ้าคุณใจถึง 20% ไปเลย ตรงนี้ ให้คุณเอาไปซื้ อพวกกองทุนเกษียณ
หรือพวกประกันชีวิตที่เป็นรูปแบบของเงินออม ที่ไร้ความเ สี่ ย ง เน้นว่าไร้ความเ สี่ ย งนะ นั่นหมายความว่า เมือครบกำหนดสัญญาคุณจะได้ผลตอบแทนเป็นตัวเลขที่แน่นอน
(ซึ่งต่างจากพวกหุ้นหรือกองทุน เหล่านั้นจะมีความเ สี่ ย ง และถ้าเงินคุณยังไม่ถึงขั้นเหลือเงินมากพอ เรายังไม่แนะนำ) ซึ่งเงินที่คุณลงไปกับฐานการเงินเหล่านี้ นี่แหละ
มันจะทำให้คุณรู้ว่า อีก 20 หรือ 30 ปีข้างหน้า คุณจะมีเงินก้อนนอนรอให้คุณหยุดงานไปใช้สบาย ๆ ได้เท่าไหร่ พูดง่าย ๆ ฐานการเงินที่คุณเจียดเพียง 10 หรือ 20% ไปสร้างในวันนี้ จะมีผลต่อเงินในอนาคตของคุณอย่างมากเลยละ
3. แบ่งก้อนเงินฉุ ก เ ฉิ น
หลายคนมักชะล่าใจ คิดว่าชีวิตจะไม่มีเรื่องอะไรให้วุ่น แต่ที่จริงแล้วเรื่องฉุ ก เ ฉิ นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และหลายเรื่องฉุ ก เ ฉิ นที่เกิดขึ้นมักต้องใช้เงิน แล้วมนุษย์เงินเดือนที่ขาดการวางแผน มักจะต า ยตรงนี้
ตรงที่เวลาเจอเรื่องฉุ ก เ ฉิ นแล้วไปไม่เป็นเพราะไม่มีเงินสำรองไว้เพื่อรองรับตรงนี้เลย บางคน มีเงินเก็บนะ แต่ไม่ได้เผื่อเงินก้อนฉุกเฉินเอาไว้ ถึงเวลามีเรื่องฉุ ก เ ฉิ นเกิดขึ้นกับชีวิต ก็จำเป็นต้องไปเบิกเงินเก็บที่เพียรเก็บมาทั้งชีวิต ไปใช้ในสถานการณ์ฉุ ก เ ฉิ นจนหมด
ฉะนั้น เราต้องไม่ลืมเก็บเงินก้อนนี้ไว้ด้วย อย่างน้อย สัก 10% ของเงินเดือน ก็ดูจะเป็นตัวเลขที่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เพราะที่จริง เราไม่น่าจะโชคร้ า ยเจอกับเรื่องฉุ ก เ ฉิ นบ่อยนักหรอก จริงไหม หรือบางคนอาจจะ แบ่งเงินฉุ ก เ ฉิ นเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก เก็บเป็นเงินสด ส่วนที่สอง นำไปซื้ อประกันสุ ข ภ า พ
แบบนี้ก็ยอดเยี่ยมไปเลย เพราะ เราทำงานทุกวัน ไม่รู้จะป่ ว ยวันไหน การเ จ็ บป่ ว ยจึงถือเป็นเรื่องฉุ ก เ ฉิ นอย่างหนึ่ง เงินฉุ ก เ ฉิ นในส่วนที่เราแบ่งไปซื้ อประกันสุ ข ภ า พนี่แหละ ที่จะทำให้เรา
ไม่ต้องไปเบิกเงินเก็บทั้งหมดออกมาเพื่อรั ก ษาตัวเอง คราวนี้คุณเห็นความสำคัญของเงินก้อนนี้หรือยัง แล้วถ้าโชคดีปีนั้นคุณไม่เจอเรื่องฉุ ก เ ฉิ นใด ๆ เลย คุณจะแบ่งเงินจำนวนหนึ่งที่เก็บได้ ไปซื้ อของขวัญให้ตัวเองสักชิ้น หรือซื้ อค อ ร์ สเรียนดี ๆ เพิ่มความรู้ให้กับตัวเอง ก็ยังได้
4. ทำบัญชี
หลังจากที่เรารู้จักการแบ่งงบเป็นก้อน ๆ แล้ว จะเห็นว่าเราก็ยังมีเงินอีกจำนวนหนึ่ง ที่จะสามารถใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ หลายคนบอกว่า มันดูน้อยจัง นั่นเป็นเพราะว่าคุณไม่ชินต่างหาก
คุณเคยอยู่อย่างมีมากใช้มาก คราวนี้ คุณลองลืมเงินก้อนที่เราแบ่งตามส่วนใน ข้อ 1 2 และ 3 ไปซะ แล้วมาปรับชีวิต ให้กลายเป็นคน มีน้อยใช้น้อย ดูบ้ าง
การทำบัญชีรายจ่ายในแต่ละวัน ย้ำว่าให้ทำเป็นรายวัน เพราะมันจะเห็นตัวเลขที่ชัดเจนมาก ทำบัญชีรายวันทำอย่างไร ง่ายที่สุด เราแนะนำให้คุณจดทุกบาททุกสตางค์ที่ออกจากกระเป๋าเลยนะ จะไปทานอ า ห า รบุฟเฟ่ต์ มื้อละหลายร้อยกับเพื่อน ๆ จะหารค่าแท็กซี่คนละไม่กี่สิบบาท หรือจะจ่ายค่าน้ำแค่ขวดละ 7 บาทคุณก็ต้องไม่ลืมจด แล้วก่อนนอน
คุณก็ลองมาสรุปรวบยอดว่า วันนี้คุณใช้เงินไปทั้งหมดเท่าไหร่ ลองทำแบบนี้แค่สักหนึ่งเดือนเท่านั้น แล้วคุณจะเห็นความมหัศจรรย์ของมัน เพราะคุณจะรู้ว่า รายจ่ายตรงไหนที่น่าเสียดาย รายจ่ายตรงไหนที่มันดูไม่ใช่เหตุ หรือ รายจ่ายตรงไหน ที่จริง ๆ แล้วคุณไม่จำเป็นต้องจ่ายก็ได้ จากนั้นมันจะทำให้คุณเป็นคนคิดหน้าคิดหลังเวลาใช้เงิน ไม่ได้หมายความว่าคุณจะกลายเป็นคน “งก” หรอกนะ เขาเรียกว่า “ใช้เงินเป็น” ต่างหาก
5. ตัดงบฟุ่มเฟือย
เรื่องนี้คือผลพลอยได้แบบเต็มรูปแบบจากการที่เรารู้จักทำบัญชีรายจ่าย เพราะมนุษย์เงินเดือนที่อย ากจะมีเงินล้าน จะเริ่มเห็นว่า รายจ่ายส่วนไหนที่เป็นรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และพวกเขาจะเริ่มตัดมันออกซะ
เช่น จากเคยนัดเพื่อนทานบุฟเฟต์ เดือนละหลายครั้ง พวกเขาจะเริ่มรู้ว่า พวกเขาเสียหายไปกับคำว่าบุฟเฟ่ต์เป็นเงินเท่าไหร่ต่อเดือน และมันน่าเสียดายแค่ไหน จากนั้นพวกเขาจะเริ่มลดจำนวนครั้งที่ทานบุฟเฟ่ต์ลง หรือเริ่มเปลี่ยนที่นัดเพือนใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นร้านอ า ห า รที่ดูดีแต่จ่ายน้อยกว่า พวกเขาจะเริ่มเห็นว่า
ตัวเลขที่เขาจ่ายไปกับการช็อปปิ้งแบบไหนที่เกินความจำเป็นบ้ าง เพราะเสื้อผ้าบางตัวที่จ่ายไปในราคาแสนแพงบางครั้งมันยังไม่เคยถูกหยิบมาใส่เลยด้วยซ้ำ แต่วันนั้นที่ซื้ อเพราะพวกเขารู้สึกว่าพวกเขามีเงิน และมันไม่ได้หนักหนาอะไร ก็เท่านั้น
และยังมีอีกหลายรายจ่าย ที่มนุษย์เงินเดือนที่อย ากมีเงินล้านจะเริ่มเห็นและพวกเขา จะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายจนเกิดเป็นนิสัย และสุดท้ายเป้าหมายของการมีเงินล้านของพวกเขาก็จะสำเร็จในที่สุด
ที่มา : t h . j o b s d b